ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ โยมขอความเมตตาในการตอบปัญหาดังนี้ครับ สติ ที่เราใช้อยู่เป็นประจำในการปฏิบัติธรรมนั้นมันมีมิจฉาสติหรือไม่ครับ เช่น โจรต้องใช้สติในการวางแผนปล้นทรัพย์ผู้อื่นก็ต้องใช้สติใช่ไหมครับ ผิดกับคนวิกลจริตที่ทำตัวสกปรกหาเศษอาหารในขยะมาประทังชีวิต ซึ่งโยมคิดว่าคนเช่นนี้มันไม่เบียดเบียนชาวบ้านมันน่าจะดีกว่าโจรใช่ไหมครับ ขอถามว่าการใช้สติทั้งสองพวก คือโจรมีกิเลสโลภอยู่แล้ว ถือว่าเขาใช้สติหรือไม่ คนจรจัดไม่โลภแต่ทำไปเพื่อยังชีพและถือว่าขาดสัมปชัญญะหรืออย่างไรครับ กราบขอบพระคุณครับ
หลวงตา : สติ สัมปชัญญะ หรือ สติ ปัญญา เพื่อความปล่อยวาง เป็นสัมมาสติ ในอริยมรรค ส่วนสติ ที่นำมาใช้ในทางเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เป็นความทุกข์ เดือดร้อน เป็น มิจฉาทิฏฐิ และ เป็นมิจฉาสติ คือ เป็นมิจฉาทั้งหมดในมรรคแปด
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณครับ หลวงตาครับ ข้อต่อไป โยมมีประสบการณ์หนึ่งคือเคยชอบฟังดนตรีเบา ๆ แล้วมาวันหนึ่งขณะนั่งผ่อนคลายอยู่ ฝึกสติรู้ ๆ ก็ได้ยินเสียงดนตรีดังกล่าวแต่ได้แต่ได้ยินเสียงโดยไม่อินและไม่ปรุงแต่งชอบ เพราะหรือไม่เพราะ แต่กลับรู้สึกรู้ซื่อ ๆ ขึ้นมาได้ อันนี้ไม่ทราบโยมเข้าใจถูกไหมและควรทำอีกหรือไม่เพราะเสียงดนตรีเป็นนันทิ
หลวงตา : สังเกต และสักแต่ว่ารู้ที่ผู้เห็น ผู้ได้ยิน ผู้รู้ ผู้เข้าใจ ผู้รู้แจ้ง
อย่าไปสักแต่ว่ารู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพียงแค่สำรวมเท่านั้น
แล้วให้สังเกต และสักแต่ว่ารู้ ที่ประตูใจ
จะเห็น “ผู้รู้” ที่รู้อารมณ์ทุกปัจจุบันขณะ
แล้วผู้รู้ ซึ่งเป็นจิตหรือวิญญาณขันธ์ จะมีเจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขาร เข้าประกอบด้วยทุกดวง แล้วกลายเป็นอารมณ์ที่ถูกรู้ อย่างนี้เรื่อยไป
ให้รู้เห็นจากใจจริง ๆ ว่า “ผู้รู้” ที่มีเจตสิกเข้าประกอบทุกดวงในปัจจุบันขณะ เป็น “สังขาร” ปรุงแต่ง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกดวง
ใจก็จะไม่หลงยึดถือว่าผู้รู้เป็นตัว เป็นตน เป็นเรา ตัวเรา ของเรา จึงจะพ้นทุกข์
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2561