ผู้ถาม : กราบมนัสการหลวงตาที่เคารพอย่างสูงค่ะ โยมได้ฟังธรรมะหลวงตามาประมาณ 1-2 เดือนค่ะ มีความเข้าใจสิ่งที่หลวงตาสอน แต่โยมมีข้อสงสัยในการปฏิบัติในชีวิตประจำวันว่าควรปฏิบัติแบบ (1) รู้สักแต่ว่ารู้ หรือ (2) พิจารณาความตายอยู่ภายใน (แอบพิจารณาควบคู่กับการใช้ชีวิตประจำวันค่ะ) หรือ (3) สามารถปฏิบัติทั้งสองอย่างควบคู่กัน แล้วแต่โอกาส เนื่องจากโยมยังละกายไม่ได้ค่ะ จึงไม่แน่ใจว่าควรพิจารณาความตายเพื่อให้ละกายให้ได้ก่อนหรือไม่คะ แล้วจึงละจิต (ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามข้อ 1 ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกหรือไม่ค่ะ) การปฏิบัติในรูปแบบในช่วงหลายเดือนหลัง ๆ โยมพิจารณาธาตุ 4 ค่ะ โยมถนัดวิธีสักแต่ว่ารู้มากกว่าค่ะหลวงตา รู้สึกว่าไม่ต้องใช้ความพยายาม แต่พิจารณาธาตุ 4 หรือพิจารณาความตายก็พอทำได้ค่ะ คิดว่าหากฝึกไปเรื่อย ๆ น่าจะคล่องแคล่วขึ้น โยมกราบขอความเมตตาจากหลวงตาช่วยชี้แนะด้วยค่ะ
หลวงตา : ปล่อยวางร่างกายสังขาร ที่จะแก่ เจ็บ ตาย เน่าเปื่อยผุพัง ก็จะเห็นจิตเกิดดับละเอียดจนถึงที่สุด ปล่อยวางจิตตสังขาร เข้าถึงใจที่ไม่สังขารไม่สามารถยึดติด ยึดถือ
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงตาค่ะ แสดงว่าโยมควรพิจารณาความตาย หรือธาตุ 4 ให้ปล่อยวางร่างกายให้ได้ก่อน แล้วจึงพิจารณา “สักแต่ว่ารู้” เพื่อปล่อยวางจิต ใช่ไหมคะหลวงตาวิธี “สักแต่ว่ารู้” ไม่ใช่วิธีเพื่อปล่อยวางกายใช่ไหมคะ ขอกราบขอหลวงตาแนะนำเพิ่มเติมหน่อยค่ะ
หลวงตา : ต้องพิจารณาให้เห็นกายและจิตเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่สักแต่ว่ารู้ คำว่า “สักแต่ว่ารู้” นั้น หมายถึง รู้แจ้งจากใจว่าสังขาร คือร่างกายจิตใจ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ้นความหลงยึดมั่นถือมั่น จึงแค่สักแต่ว่ารู้
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2561