ผู้ถาม : โดนหลอกไปเป็นสังขาร ตัวที่รู้สังขารเสียนานเลยเจ้าค่ะ เข้าใจว่าสังขารมันเงียบแล้ว กำลังจะหยุดหมุนแล้ว แต่ไม่เห็นตัวที่มันคิดอยู่ในใจเลย มันเบาบางมาก มาเห็นอีกที เอ้าถลำไปรู้เสียตั้งนาน มันถลำเพราะมันมีตัณหา มันอยากได้พระนิพพานอยู่ ลืมตาตื่นก็เห็นว่า พระนิพพานมีที่ไหนกัน มีแต่จิตที่เป็นสังขารที่มันเป็นทุกข์ มันหมุนอยู่ต่อหน้านี่เอง
หลวงตา : ความพยายามรักษาใจให้นิ่ง ๆ ว่าง ๆ ไม่ให้สังขารไว้ หรือ ความอยากได้นิพพาน มันหลงเป็นสังขาร หรือ หลงสังขารปรุงแต่ง ความปรุงแต่งใด ๆ ในใจที่จะไม่ให้หลงเป็นสังขาร หรือ จะพยายามให้เป็นวิสังขารไว้ นั้น เป็น “หลงสังขาร” มันจะตกอยู่ในความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่เป็นทุกข์ทันที
ทุกปัจจุบันขณะ ต้องรู้แก่ใจว่า ไม่ได้หลงเป็นสังขาร หรือ ไม่ได้หลงสังขาร จึงจะไม่มีผู้ทุกข์ หรือ พ้นทุกข์ หรือ นิพพาน หรือ ขันธ์ห้า หรือ ชีวิตที่ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งเป็นความทุกข์ประจำขันธ์ (ทุกขสัจจ์) ยังมีอยู่ แต่ไม่มีผู้หลงสังขาร คือ ปรุงแต่งยึดถือขันธ์ห้า ให้เป็นทุกข์
ผู้ถาม : ข้อความของหลวงตารัดกุม แต่ต้องอ่านหลายทีแล้วพิจารณาด้วยการสังเกตตนเองเดี๋ยวนั้นเจ้าค่ะ ที่เข้าใจคือ ผลักไสสังขาร ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรืออยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และในขณะเดียวกันก็ยึด อยากให้วิสังขารอยู่แบบนั้นเลยทุกข์ เพราะแท้จริงแล้วสังขารมันเกิดดับของมันตามธรรมชาติ เราควบคุมไม่ได้ ก็ได้แต่รู้ สรุปแล้วสาเหตุคือ หนูอยากปฏิบัติได้ดี และนี่คือกิเลส ซึ่งทำให้หนูพยายามไปยุ่งกับสังขารและวิสังขาร
หลวงตา : สาธุ สาธุ.... มีสติ ปัญญาแล้ว
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561