หลวงตา : ปกติธรรมชาติของธาตุรู้ จะไม่ปรากฏอะไรให้พวกโลกทิพย์ หรือ พวกเชิญวิญญาณ หรือ พวกมีความรู้พิเศษเห็นได้เลย มันจึงเหมือนกับเป็นความว่างเปล่าของธรรมชาติ หรือ ความว่างของจักรวาล พวกมีจิตทิพย์หรือพวกเชิญวิญญาณ หรือพวกมีความรู้พิเศษ เมื่อ มองเข้าไปที่ธาตุรู้ หรือใจ หรือ จิตเดิมแท้ของผู้ที่สิ้น “อวิชชา” แล้ว จะไม่เห็นอะไรเลย
แต่ของโยมหมอ มีนิวเคลียสอยู่ตรงกลาง และมีวงหุ้มเหมือนไข่ดาว ในธาตุรู้ จึงเหมือนกับมีไข่ดาวอยู่ในความว่างเปล่าของธรรมชาติ
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะหลงยึดถือเอาอาการจิตนิ่งที่ละเอียดมาก ๆๆๆ .. เป็นจิตเดิมแท้หรือเป็นธรรมธาตุ หรือ ธาตุรู้
เมื่อหลงผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิเช่นนี้ ก็จะหลงรู้อะไรด้วยจิตนิ่งนั้นและจะหลงว่าจิตนิ่งนั้นเป็นเรา หรือ เราเป็นจิตนิ่งนั้น จึงเป็น “อวิชชา” ที่ซ่อนเร้นอยู่ โดยไม่รู้ตัว
ลักษณะหรือพฤติแห่งจิตทำนองนี้แหละ ที่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน พ่อแม่ครูอาจารย์ ที่เคารพนับถือ บอกว่า “ถ้ามี ‘จุด’ หรือ ‘ต่อมผู้รู้’ นั่นแหล่ะคือ ‘อวิชชา’”
ผู้ถาม : มันเหมือนผม “หลง” เดินทาง โดยดันมีตัวไปคอยรู้ทัน ความอยากนิพพาน คอยดูว่า “เรา” ยังมีเหลืออวิชชาตัวนี้อยู่ไหม
พอเห็นไปเรื่อย ๆ เขาก็โผล่น้อยลง เพราะผมไปเป็น “รปภ.” เฝ้าประตูบ้านไว้ ที่นี้ความสงบลึก ๆ ข้างในก็เข้ามาแทนที่ โดยที่ผม “รู้” ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ปัญหาคือ ไม่ทันอวิชชาที่ซ่อนอยู่ในวงนี้ว่า .. ผมทำได้ถูกต้องกว่าเดิมแล้วนะ นี่แหละอวิชชาอยู่ที่ต่อมผู้รู้นี้ ซึ่งเบื้องหลังจริง ๆ ก็คือ “มีอวิชชา หลงมีตัวเราเสวยผลอยู่ดี”
ยิ่งผมรู้ว่าผมรู้อะไร ยิ่งเหลือตัว
ยิ่งผมจับหลักการละเอียดได้ ยิ่งมีตัว
ยิ่งรู้ว่าต้องไม่ยึดหลักการ นั่นแหละมีหลักการแล้ว
วงจรเคลื่อนไหวไม่สิ้นสุด เพราะไม่หยุดที่ “ไม่มีเราอยู่จริง”
หลวงตา : ให้เห็นว่าจิตผู้รู้ไม่ว่าจะนิ่ง สงบ ว่างเพียงใด ก็เป็นเพียงสังขาร หรือ ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ
ไม่หลงยึดถือจิตผู้รู้นั้น
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2561