ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ ขอโอกาสหลวงตานะคะ ด้วยเหตุที่เข้าห้องผ่าตัดอย่างปัจจุบันทันด่วนแบบไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
จิตไม่มีความกลัวเลยค่ะ เค้าเข้าไปบริกรรมบทสวดที่คุ้นเคยแบบอัตโนมัติ พอจะออกไปคิดก็กลับมาบริกรรม จนหมดสติเพราะฤทธิ์ยาไป และฟื้นคืนสติกลับมาจึงรู้ตัวว่ายังไม่ตายจากโลกนี้ไปค่ะ
ข้อสงสัยคือระหว่างที่หมดสติไปนั่น เหมือนกับว่าไม่เคยมีตัวตนเลยค่ะ ไม่มีความฝัน ไม่มีเรื่องราวที่จิตคิดกังวล จิตหายไปไหนค่ะหลวงตา
ถ้าหากว่าก่อนหมดสติ จิตไม่ข้องกับเรื่องใดๆ แล้ว แล้วหากร่างกายไม่พร้อมที่จะให้จิตกลับเข้าไปได้ จิตจะไปไหนค่ะหลวงตา เพราะตอนที่ฟื้นคืนสตินั้น จำได้แต่ภาพในห้องผ่าตัดก่อนที่จะหลับตาค่ะหลวงตา
หลวงตา : ขณะที่หลับสนิทไปหรือหมดสติไปจากการดมยาสลบ กระบวนการทำงานของขันธ์ห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมทั้งสติ สมาธิ ปัญญาที่เป็นสังขารปรุงแต่งจะดับไปชั่วคราว
ตามกฎของอิทัปปัจจยตา คือเมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี สิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี ดังนั้นเมื่ออวิชชามี จิตจึงมี เมื่ออวิชชาดับ จิตจึงดับ
ถ้าอวิชชาดับสนิทถาวร จิตจึงดับถาวร
แต่ในกรณีนี้อวิชชายังไม่ดับ จิตจึงไม่ดับ เพียงแต่กระบวนการทำงานของขันธ์ห้าหยุดทำงานชั่วคราวจากผลของยาสลบ ดังนั้นเมื่อตื่นขึ้นมาการทำงานของขันธ์ห้าจึงเริ่มทำงานตามปกติ มีการปรุงแต่งปกติมีการรับรู้ตามปกติ
ขอตอบคำถามว่าขณะที่หลับสนิท หรือดมยาสลบนั้น จิตไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่การรับรู้ของจิตหายไปชั่วคราวเท่านั้น
อีกปัจจัยหนึ่งคือการบริกรรมที่ทำก่อนหลับสนิทนั้น ทำให้จิตเป็นสมาธิจนถึงระดับฌาน อรูปฌานหรือไม่ ถ้าจิตก่อนดับไปอยู่ในฌาน จิตก็จะไปสร้างตัวตนไว้ในความรู้สึกในรูปพรหม ถ้าจิตก่อนดับไปอยู่ในอรูปฌานคือจิตก็จะเป็นอรูปพรหม (คือมีแต่จิต ไม่มีรูป)
แต่ถ้าไม่ได้เข้ารูปฌานหรืออรูปฌานจนเป็นวสี ขณะหมดสติหรือขณะตายจะเข้าสมาธิไม่ทัน ก็จะไปภพภูมิตามที่จิตปรุงแต่งยึดถือไว้ขณะสติสุดท้ายก่อนดับไป
แต่ถ้าไม่ได้เป็นสมาธิในฌาน เพียงแต่สร้างความรู้สึกว่างเป็นอารมณ์ของจิต จิตก็จะมีตัวตนติดอยู่ในความรู้สึกว่าง จะเป็นอสัญญีภพ คือ จิตจะไม่มีภพที่ไป แต่จะเหมือนกับถูกขังอยู่ในฟองสบู่ลอยไปลอยมา ผู้ที่ปฏิบัติธรรมที่เข้าใจผิด น่าจะมีผู้ติดอยู่ในอสัญญีภพนี้มีเป็นจำนวนมาก เพราะชอบสร้างความรู้สึกให้ใจว่างเปล่า แล้วอยู่กับใจว่างนั้น คือ มีตัวเราอยู่ในความว่างหรือหลงยึดถือว่าใจว่าง (แท้จริงเป็นอารมณ์หรือความรู้สึกว่างที่ปรุงแต่งสร้างไว้ ไม่ได้ว่างเปล่าจากตัวตน ว่างเปล่าจากเรา ตัวเราหรือของเรา)
ถึงแม้ก่อนหมดสติสลบไปหรือตาย จะบริกรรมพุทโธแต่ใจกับความศรัทธาในพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกัน และไม่ได้เป็นสมาธิระดับฌานใดเลย โดยขณะนั้นจิตเกาะเกี่ยวพัวพันไปอยู่กับเรื่องอื่นๆ แทน เช่น อยู่กับความโกรธฝังติดแน่นจิต จิตในขณะนั้นก็จะสร้างตัวตนไว้ในภพนรก
ถ้าติดอยู่กับความโลภ จิตในขณะนั้นก็จะสร้างตัวตนไว้ในความรู้สึกเป็นเปรต อสุรกาย
ถ้าติดอยู่กับโมหะ คือ ความหลง จิตในขณะนั้นก็จะสร้างตัวตนไว้ในภพสัตว์เดรัจฉาน
ถ้าอยู่ในความอิ่บเอิบในบุญกุศล จิตในขณะนั้นก็จะสร้างตัวตนไว้ในภพเทวดาที่แตกต่างกัน
ซึ่งจิตเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทานในปัจจุบัน จะสร้างความเคยตัวเคยใจในการการสร้างตัวตนติดอยู่ในภพชาตินั้นๆ ขณะสติหรือจิตสุดท้ายจะดับไปคือตาย
แม้ขณะหลับสนิท เมื่อตื่นขึ้นมาจากการนอน ก็เหมือนการเกิดใหม่ จิตก็จะมีตัวตนเปลี่ยนไปตามภพภูมิที่ไปติดหรือยึดถือใหม่ๆ อีก
แต่ถ้าในปัจจุบันหรือขณะก่อนจิตดับไปในครั้งสุดท้าย ถ้าปล่อยวางความหลงยึดถือทั้งร่างกาย และจิตใจ คือ ความรู้สึก นึก คิด ตรึกตรอง ปรุงแต่ง หรือ อารมณ์ต่างๆ โดยเห็นว่าทั้งหมดเหล่านี้เป็นเพียงสังขารปรุงแต่งเท่านั้น ไม่ใช่เรา ของเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา หรืออวิชชา ตัณหา อุปาทานดับ จิตก็จะดับอย่างถาวร
เหลือเพียงธาตุรู้ที่ไปรวมกับความว่างเปล่าของธรรมชาติ หรือ ที่ๆ ใดมีความว่างแทรกซึมอยู่ ก็มีธาตุรู้ ที่เป็นความรู้แบบ “พุทธะ” คือ รู้แจ้ง รู้จริง รู้พ้น รู้สิ้นยึด รู้สิ้นหลง คือรู้แจ้งในสัจธรรมความจริงของธรรมชาติว่าธรรมชาติที่แท้จริงมีแค่สังขาร กับวิสังขาร แต่ไม่มีเรา ตัวเรา หรือ ไม่มีจิตหรือใจของเรา ไปหลงยึดถือทั้งสังขารและวิสังขาร
ก็จะเป็นการดับจบภพชาติและทุกข์อย่างถาวร
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2561