ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ ผมไปฟังหลวงตา เมื่อวันที่10 ที่ผ่านมา ที่บ้านบางบอน เป็นครั้งแรก และได้มีโอกาสถามคำถามหลวงตา หลังจากฟังเสร็จออกมา ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ มีเหตุการณ์กระทบกระทั่งเดิมๆ ที่เมื่อก่อนผมจะไปยึดมาเป็นโทสะ แต่หลังจากวันที่10 นี้มา เหตุการณ์ต่างๆ ที่มากระทบนี้ไม่เป็นผลให้มีอารมณ์ร่วม บางครั้งมีความรู้คล้ายว่าจะมีอารมณ์ และมันก็วางทันทีครับ
จึงมากราบขอบพระคุณหลวงตา ที่หลังจากฟังเทศน์วันนั้น ผมกลายเป็นคนใหม่ คนที่มีสติคุ้มครองอายตนะทั้ง 6 ได้ ตอนนี้จิตใจสบายมากครับ ไม่มีความเบื่อ ความทุกข์ กับหงุดหงิด กับเรื่องใดๆ แม้ไม่ได้ใช้คำภาวนาหรือสมถะข่มไว้
การ "สักแต่ว่ารู้" ในความรู้สึกของผม คือการที่เรารู้ทุกอย่างเลย รู้ว่าสิ่งนี้บันดาลให้เกิดความสุข สิ่งนี้ดี ประณีต สิ่งนี้หยาบ ทำให้เกิดทุกข์ แต่จิตใจเราไม่เข้าไปทำให้เกิดความพอใจ หรือไม่พอใจในมัน
เมื่อปราศจากความไม่พอใจ ความพอใจ ตัณหาก็จะสามารถสิ้นสุดได้ หากตัณหาสิ้นสุดลงเมื่อไร อุปาทาน ภพ ชาติ ก็คงขาดลงเมื่อนั้น หากที่ผมเข้าใจในระดับจิตปัจจุบันนี้ มีความคลาดเคลื่อนอย่างไร ขอหลวงตาโปรดชี้แนะ กราบขอบพระคุณหลวงตาอย่างสูงครับ เมื่อจิตใจของผมเปลี่ยนจากหลังเท้าเป็นหน้ามือ จากโทสะทุกเรื่อง กลายเป็น เมื่อมีสิ่งกระทบอย่างเดิมแต่ใจผมไม่ไปยึดเข้ามาให้ขุ่นมัวแล้ว ทำให้บางครั้งในจิตรู้สึกว่า สังสารวัฏของผมมีปลายทางแล้ว การปฏิบัติผมมาตรงแล้ว
หลวงตา : ถูกแล้ว ปล่อยวางสังขาร ทุกปัจจุบันขณะ ให้ถึง “ใจ” เป็น "ใจ" ที่เป็น วิสังขาร ปล่อยให้ สังขาร คือ ความรู้สึก นึก คิด อารมณ์เขาเคลื่อนไหวเกิดดับโดยอิสระ แต่ “ใจ” ไม่มี ไม่เคลื่อนไหว ไม่มีตัวตน ไม่อาจแสดงอาการหรือเคลื่อนไหวใดๆ ได้ มันเป็นเหมือนความว่างของธรรมชาติหรือจักรวาล
ผู้ถาม : หลังจากที่ฟังธรรมหลวงตาวันนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนในพุทธกาล ที่เหล่าสาวกฟังธรรมจบบรรลุเลย อย่างนั้นเลยครับ
หลวงตา : สาธุ
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2561