ผู้ถาม : หลังจากกลับมาจากที่โดนหลวงตาอัดอย่างหนักเมื่อวาน มันเหมือนคนว่างงานไปเจ้าค่ะ ไม่รู้จะทำอะไร ไม่มีอะไรให้ทำ ไม่รู้จะพิจารณาหรือจะปล่อยวางอะไรดี ของานให้ทำหน่อยได้ไหมเจ้าคะ มันแปลก ๆ มันไม่ชินเลยจะไปทำงาน งานในจิตอะไรมันก็ไม่ยอมทำ ไม่กระดิก อยู่ว่างเกินไปเจ้าค่ะ
หลวงตา : ......ว่างงานทางใจ เหมือนคนปลดเกษียณ แล้วจะไปหางานทำให้เป็น ทุกข์ทำไม คงเห็นมีแต่ธรรมชาติของสังขารเขาเกิดเอง ดับเอง ในความไม่มีอะไร ไม่มีใคร
ผู้ถาม : มันเหมือนยังทำงานไม่ทันรู้เรื่องเลยเจ้าค่ะ ยังไม่รู้เลยว่า พิจารณาเกิดดับไปจนสุดทางแล้วมันจะเป็นอย่างไร จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เส้นทางเดิน มันต่างกันไหมกับการปล่อยวางสังขารหมดแบบนี้
ปล. หลวงตาอย่าอัดหนักนะเจ้าคะ แค่อยากรู้จริงๆ มันนิมิตเห็นตัวเอง อีกไม่กี่ก้าวจะถึงยอดเขาอยู่แล้ว แต่มันลังเลใจนึงอยากจะเดินย้อนกลับ อยากเดินไปทางอ้อมเพราะมันกลัว มันกลัวว่าถ้าไปจนถึงยอดเขาแล้ว มันจะไม่ได้เดินทาง ไม่เห็นเส้นทางอีกทางนึงแล้วเจ้าค่ะ
หลวงตา : การพยายามอยากรู้ อยากเห็น อยากเข้าใจ เราเห็นแสงสว่างทางพ้นทุกข์ที่ปลายอุโมงค์ แล้วหลงว่ามีตัวเราต้องการความเข้าใจอีกนิดเดียว ก็จะถึงยอดเขาคือบรรลุพระนิพพาน อย่างนี้เป็นความหลง เป็นกิเลส คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ต้องเห็น ต้องรู้เท่าทันกิเลส อย่าปล่อยให้กิเลสหลอก ว่ามีตัวเราจะได้ จะเป็น จะบรรลุอะไร
ผู้ถาม : เจ้าค่ะ หลวงตา มันไม่ไปรู้อะไรแล้วเจ้าค่ะ หลวงตา มันรู้อยู่แก่ใจแล้ว ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงสังขาร ถึงใจแล้ว ว่ามีแต่สังขารเท่านั้นที่ปรากฏ จึงหมดงานที่ต้อง รู้ละปล่อยวางสังขารแล้วจริงๆ เพราะรู้อยู่แก่ใจ ว่าทุกสิ่งเป็นสังขาร จึงปล่อยให้มันเกิดเองดับเอง และใช้สังขารทุกอย่างได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องไปคอยรู้ ไม่ต้องกลัวหลง เพราะมันไม่มีวันหลงอีกแล้ว เพราะรู้แก่ใจจริงๆ เจ้าค่ะ มันไม่ไปหานิพพานแล้วด้วย เพราะมันรู้ว่าทุกสิ่งที่ปรากฏในใจเป็นสังขาร มีแต่สังขารเท่านั้น นิพพานไม่มีเจ้าค่ะ แล้วก็ไม่มีใครเป็นอะไร เพราะคนที่คิดว่าตัวเองเป็นอะไร นั่นก็สังขาร
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2561