ผู้ถาม : ในส่วนของคำสอนทั้งหมด หนูขอส่งความรู้ความเข้าใจดังนี้ค่ะ
อยากสรุปคำสอนของหลวงตาว่า ขันธ์ 5และจิตตสังขารที่คิดนึกตรึกตรองหรือทำอะไรได้ ล้วนเป็นสังขารและอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ โดยคิดว่าหลวงตาเน้นไปที่จิตตสังขารว่าอย่าไปจับตัวนี้มาเป็นใจที่ว่างเปล่า อยากคิดว่าหนูเข้าใจคำอธิบายแต่ละคำของหลวงตาแล้ว
จึงขอเรียนอธิบายย้อนว่าเดิมหนูใช้คาถามหาจักรพรรดิ์เป็นคำบริกรรม เมื่อจะปฏิบัติธรรมและเลือกสายพุทโธ จึงเปลี่ยนมาบริกรรมอยู่ไม่กี่วันก่อนไปขอปฏิบัติกับหลวงพ่อ พอท่านบอกว่ารับเป็นศิษย์แต่จิตมันซับซ้อนเดี๋ยวจะดูให้นั้น เมื่อกลับไปนั่งสมาธิที่บ้านก็เห็นจิตที่ท่องคาถาก็ท่องไป แต่มีอีกจิตหนึ่งบริกรรมพุทโธ อยู่ไม่กี่วันก็เหลือจิตบริกรรมพุทโธอย่างเดียว อีกอันไม่รู้หายไปตอนไหน แล้วไม่ว่าจะนั่งสมาธินิ่งขนาดไหนหนูก็ไม่เคยทิ้งคำบริกรรมเลยค่ะ จนมาพบกับหลวงตาในครั้งแรกจึงเปลี่ยนมาฝึกให้เป็นวสีแทน การเห็นตรงนี้ทำให้ดูจิตและเห็นผู้รู้ง่ายขึ้น
ในช่วงหลังนี้หนูเห็นการเคลื่อนไหวในความว่าง ที่เป็นการกระเพื่อมวิบวับเพียงเล็กน้อยเป็นปรมาณูก็เป็นสังขาร ในความว่างยังมีความคิดปรุงแต่งเกิด ๆ ดับ ๆ ที่เดิมคิดเรื่องนี้ต่อไปเรื่องโน้นเรื่อย ๆ แต่ต่อมาความคิดปรุงแต่งก็เว้นช่วงการคิดมากขึ้น มีช่องว่างที่ห่างกันมากขึ้น ในขณะที่ว่างจากการงานอยู่เงียบ ๆ จะเห็นว่าในความว่างเปล่า มีแสง สว่างบ้าง ไม่สว่างบ้าง มีการกระเพื่อมมากบ้างหรือน้อยจนแทบจับอาการไม่ได้บ้าง และมีความคิดปรุงแต่งเกิดอยู่ในความว่าง ที่รู้อยู่เห็นอยู่ แต่ก็แค่รู้ แค่รู้ โดยไม่ได้เข้าไปสนใจให้ค่ากับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรวมทั้งความว่างนั้น
ณ ตรงนั้นมันเหมือนทุกอย่างก็อยู่ของเค้าอย่างนั้น แต่ละสิ่งแต่ละอย่างต่างเป็นอิสระแก่กัน รูปร่างกายที่มีอยู่ก็เหมือนไม่มีภาระอะไร เหมือนกับจะนั่งอยู่อย่างนั้นได้นาน ๆ โดยจะไม่รู้สึกปวดเมื่อยอะไรเลย ความคิดปรุงแต่งก็น้อยลงไปมากเหมือนกับว่าถ้าสงบมากขึ้น ๆ ก็อาจไม่มีความคิดปรุงแต่งเลยก็เป็นได้คะ
ตรงนี้ขอเรียนถามว่าการปฏิบัติธรรมที่หลวงตาสอนเป็นแบบนี้ไหมคะ แล้วเมื่อสัก 2 เดือน มานี้ วันหนึ่งหนูเห็นฝุ่นเล็ก ๆ สีขาวลอยอยู่เหนือศรีษะ จึงมองดูโดยพยายามไม่กระพริบตาเลยเพราะอยากรู้ว่าจะร่วงลงที่ไหน หนูเคยเห็นฝุ่นปลิวแบบนี้ แต่จู่ ๆ ก็หายไปอยู่หลายครั้ง ครั้งนี้จึงตั้งใจจะดูให้ได้ว่าร่วงลงที่ไหน สุดท้ายก็เห็นฝุ่นร่วงผ่านหน้ามาแล้วก็หายไป ทั้งที่ตั้งใจดูแล้วทำให้สงสัยมากว่าเห็นแล้วทำไมหายไป
เมื่อไปพบหลวงพ่อจึงถามว่าจ้องขนาดนี้แล้วหายไปไหน ที่เห็นนั้นใช่ฝุ่นหรือเปล่า ท่านก็ตอบแค่ว่าให้กำหนดจิตถามว่าเป็นใคร ให้เห็นตัวพูดคุยกันได้ไหม ต้องการจะให้ช่วยอย่างไร พอท่านตอบแบบนี้หนูจึงบอกว่า ถ้าใจหนูเปิดได้ก็เหมือนจะเห็นหน้าเทวดาที่สวมชฎา ท่านก็ตอบแค่ดี ๆ เห็นถูกต้องแล้วหละ
สุดท้ายนี้หนูจึงขอเรียนถามหลวงตาว่า ฝุ่นที่เห็น คือ คำว่า “ปรมาณู” ตามคำสอนของหลวงปู่ดูลย์หรือเปล่าคะ กราบขอความเมตตาจากหลวงตาด้วยค่ะ
หลวงตา : สิ่งใดที่รู้ เห็น ได้ยิน โดยที่บุคคลทั่ว ๆ ไปไม่สามารถรู้ เห็น ได้ยิน อย่างนั้นได้ มันเป็นการรู้ด้วยอำนาจของฌาน คือ ความรู้พิเศษภายใน รู้เห็นสิ่งใด หรือทำได้ ใช้เป็นแล้ว จะต้องไม่หลง ไม่ติดไม่ยึด เข้าใจแล้ว ก็ปล่อยผ่านไป ไม่เอามาติดค้างอยู่ในใจ ไม่เก็บมาพูดคุยให้คนที่เขาไม่รู้เห็นเช่นนั้นฟัง เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราเพี้ยน
การรู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะหรือสัมผัส และธรรมารมณ์ คือ อาการของจิตหรือของใจทั้งหมด เป็นการรู้แบบปกติของคนทั่วไป
วิปัสสนาญาณ คือ รู้แก่ใจว่า ทุกปัจจุบันขณะที่รู้รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอาการของจิตหรือของใจ ไม่มีผู้เสวย หรือ ผู้ยึดมั่นถือมั่น หรือไม่ติดไม่ยึดสิ่งใดเลย หรือสักแต่ว่ารู้ หรือรู้ซื่อซื่อ หรือ รู้ด้วยใจเป็นกลางหรืออุเบกขา หรือ ไม่ไปอะไรกับอะไร ก็ไม่มีผู้ทุกข์ มีชื่อสมมติเรียกว่า “นิพพาน”
คำว่า สักแต่ว่ารู้ หรือ รู้ซื่อซื่อ หรือ รู้ด้วยใจเป็นกลางหรือเป็นอุเบกขา หรือไม่ไปอะไรกับอะไร นี้ มีความหมายเดียวกันทั้งหมด หมายถึง ไม่มีผู้เสวย หรือ ไม่ติดไม่ยึดสิ่งใดเลย ก็ไม่มีผู้ทุกข์ (นิพพาน)
แต่ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่จะเข้าใจผิด โดยเอาตัวเรา ซึ่งเป็นขันธ์ห้าไปทำกริยาสักแต่ว่ารู้ หรือ รู้ซื่อซื่อ หรือ รู้ด้วยใจเป็นกลางหรืออุเบกขา หรือ ไม่ไปอะไรกับอะไร ครั้นไม่ได้อย่างใจอยาก ก็เกิดความอึดอัดขัดข้องใจ ไม่สบายทั้งกายและใจ มีอาการจุกแน่น อึดอัด ปวดร้าวไปทั่วตัว หรือติดแช่นิ่ง เฉย ว่าง สบาย
ส่งผลให้ร่างกายเจ็บป่วยหลายโรคตามมา เช่น มีอารมณ์แปรปรวนง่าย โรคภูมิแพ้ ไมเกรน ท้องอืดจุกแน่น ลิ้นเป็นฝ้าขาว กินข้าวไม่ได้ คันขอบตาใน ส่วนบริเวณขอบตานอกจะมีสีคล้ำคล้ายขอบตาหมีแพนด้า หรือเป็นผื่นคันตามตัว เป็นต้น เมื่อแพทย์ตรวจดูแล้วก็หาสาเหตุของโรคไม่พบ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2561