ผู้ถาม : กราบขอโอกาสเจ้าค่ะ เช้านี้ขณะทำวัตรสวดมนต์ ปรากฏเป็นความเข้าใจสอนจิตให้แจ้งลงไปอีกเจ้าค่ะ แจ้งแบบเนียน ๆ ให้จิตได้ซึมซับและ "ยอมรับ" ด้วยใจจริง ๆ ยอมรับแบบไร้ข้อแม้ ไร้ความพยายามแม้กระทั่งจะดู รู้ เห็นอะไร รับรู้อย่างธรรมชาติ ปากก็สวดมนต์ไป ใจก็รับรู้ไป ธรรมารมณ์กระแทกใจ น้ำตาก็ร่วงไป แต่ขันธ์ทุกขันธ์ต่างฝ่ายต่างทำงานตามปกติ ตามหน้าที่ของเค้า
ไม่ว่าจะปฏิบัติมาตั้งแต่ภพชาติใด หลงผิดบ้าง มาถูกทางบ้าง เวียนวนเป็นมิจฉาทิฏฐิบ้าง ได้เจอครูบาอาจารย์ชี้ทางสัมมาทิฏฐิบ้างเมื่อยังไม่ "สิ้นเชื้อ" แห่ง "ความหลง" ก็ยังคงต้องขึ้นลงปีนป่ายตกเขาพระนิพพานกันมานับครั้งไม่ถ้วน สาเหตุคือด้วยความดื้อรั้น ไม่ยอมรับ "ธรรมชาติตามความเป็นจริง" มันถึงไม่สามารถจะเข้าถึง "สัจธรรมความจริง" ได้
ที่เราเพียรปฏิบัติกันมานี้ เพียงแค่ "ฝึกจิต" ให้ "เข้าใจและยอมรับ" ความจริงของธรรมชาติ อย่าง "ถึงใจ" จนไม่หลงเหลือ "ความยึดมั่นถือมั่น" ใด ๆ อยู่เลย ว่าสัจธรรมความจริงนั้น มีแต่ "ธรรมชาติ" ไม่เคยมี "ตัวตนของเรา" มาตั้งแต่แรก และไม่เคยมีอยู่ตลอดกาล
กระบวนการ "เข้าใจ" อย่างถึงใจ ก็เป็นการยากที่จะเข้าถึง หากมี "ตัวเรา" พยายามกระทำให้เป็นไปอย่างที่เราหวังผล นั่นคือสิ่งกีดขวางที่เป็นเหมือนม่านบาง ๆ ที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่เมื่อ "ถึงใจ" ซะแล้ว ย่อมเข้าใจด้วยใจ ไม่เหลือวิสัยของการเพียรมีสติรู้เท่าทัน กัดติดจดจ่อต่อเนื่อง
กระบวนการ "ยอมรับ" ยิ่งยากกว่าความเข้าใจ ยอมรับว่า สุดท้ายจะ "ไม่เหลืออะไรเลย" ต้องอาศัยความหาญกล้าที่จะยอมรับว่า แม้จะพยายาม "สงวนรักษา" ปรมาณูส่วนที่ละเอียดที่สุดไว้ สุดท้ายจะมีแค่ "ความว่างเปล่า" ต้องกล้าทิ้งทุกอย่างจริง ๆ แม้แต่เส้นบาง ๆ ของความรู้สึกที่ยึดไว้ในใจ คือสังขารส่วนละเอียดที่สุด เมื่อสิ้นยึดทั้งโลกและธรรม อิสรภาพที่ไร้พันธนาการจึงจะปรากฏขึ้น
สภาวธรรมทุกอย่างเป็นเพียงสังขาร เกิดขึ้นและดับไปในขณะจิต เมื่อได้เรียนรู้ และ "รู้เห็นด้วยใจ" บ่อย ๆ นี่คือครูที่ดีที่สุด กัลยาณมิตรที่ดีที่สุดคือใจที่ผ่านการฝึกฝนให้ รับรู้ความจริงของธรรมชาติตามความเป็นจริง อย่างที่มันเป็น
และนี่คือ "เส้นทางแห่งพุทธะ" ที่องค์หลวงตาเมตตาเน้น ย้ำ จ้ำจี้จ้ำไช ด้วยความเมตตา ให้ทุกคนได้ผ่าน "ประสบการณ์การเรียนรู้" ด้วยตนเอง น้อมกราบแทบเท้าพ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยความเคารพสูงสุดเจ้าค่ะ
หลวงตา : อ่านพิจารณาดูแล้ว มีเราพยายามสอนตัวเรา พยายามทำความเข้าใจ บีบบังคับให้ยอมรับตามความเป็นจริง ก็คือยังไม่สิ้นความหลงว่ามีตัวเราอยู่ ให้เห็นว่าความคิดความรู้สึกนั้นเป็นสังขาร
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณองค์หลวงตาที่เมตตาชี้ให้เห็นเจ้าค่ะ "ความคิดความรู้สึกเหล่านั้นเป็นสังขาร" น้อมมาพิจารณาต่อให้ต่อเนื่องเจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ
ผู้ถาม : กราบขอโอกาสเจ้าค่ะ ... ที่หลวงตาเมตตาเตือนว่า
"มีเราพยายามสอนตัวเรา พยายามทำความเข้าใจ บีบบังคับให้ยอมรับตามความเป็นจริง" ... โดนใจมากเจ้าค่ะ น้อมพิจารณาแล้ว เห็นเจ้า "สังขารหมาอยากเห่า" ที่แสดงอาการเป็นผู้พยายามบีบคั้นให้ตัวเองเข้าใจ ตอนที่มันเค้นจะกราบเรียนถวายหลวงตา
ตอนที่มันเกิดขึ้น มันเป็นชั่วขณะจิตเดียวเจ้าค่ะ แล้วก็หลงมีตัวเราไปตกร่อง ... เค้นอธิบายสังขารนั้น ก็เลยไม่สิ้นตัวตนเจ้าค่ะ ตอนนี้เริ่มทันมันมากขึ้น เพราะองค์หลวงตาชี้แนะเตือนสติ
เห็นแล้วเจ้าค่ะ ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้ บรรยายได้ของไม่จริง สังขารลวงโลกทั้งนั้นเจ้าค่ะ กราบเท้านมัสการมาด้วยความเคารพสูงสุดเจ้าค่ะ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2561