ผู้ถาม : กราบขอโอกาสเจ้าค่ะ วันนี้กลับไปฟังไฟล์เสียง “สิ้นผู้แสวงหา” อีกรอบหนึ่ง ฟังแล้วน้อมเข้ามาพิจารณาอ่านตน ก็ได้ความแจ้งแก่ใจในสิ่งที่องค์หลวงตาเมตตาตักเตือนไว้ก่อนหน้านี้เจ้าค่ะ
หลายครั้งที่เมื่อจิตผุดปรากฏการณ์ข้อธรรม หรือความรู้ความเห็นอะไรพิเศษ แล้วน้อมไปพิจารณาเข้า มันเลยกลายเป็นหลงไปเป็นสังขาร มีตัวเราไปพยายามทำความเข้าใจ รู้เห็น จนสุดท้ายยึดไว้ ไม่ปล่อยผู้รู้ หลงมีตัวตนเข้าไปกระทำ เราคิดว่าเราปล่อยวางแล้ว แต่มันยังมีตัวเราไปปล่อยวาง มันไม่ได้ปล่อยวางตัวเรา และหลงยึดถือความไม่ยึดถือด้วยเข้าใจผิด มีเราหลงแบกปัญญาอยู่ ทิ้งร่องรอยไว้ให้ครูบาอาจารย์จับได้ ต่อเมื่อเห็นได้ในขณะจิตต่อ ๆ มา ที่ได้รับการชี้แนะ จึงได้เข้าใจและ "เห็นและละ" ได้เร็วขึ้น
ตอนนี้ศิษย์เริ่มเข้าใจมากขึ้นแล้วเจ้าค่ะ เห็นความผิดพลาดของตน และพอจะรู้วิธีที่จะไม่กลับไป "ตกร่องเดิม" ด้วยสิ่งที่รู้เห็นเป็นออกมาจากใจ เมื่อน้อมไฟล์เสียงมาพิจารณาตาม เรียกว่าแจ้งเจื๊อก ๆๆ เจ้าค่ะ
ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้เอง ปรากฏการณ์ทางจิตที่โผล่ขึ้นมาเองให้จิตสัมผัสได้ อยู่ ๆ เมื่อมันถึงเวลา ปัญญามันหมุนของมันเอง ข้างในเขาหมุนของเขาเอง มันมีขึ้นมาแล้ว มันเป็นขึ้นมาแล้ว ไม่ต้องไปหาเหตุผลหรอก "มันถึงเวลาของมัน" มันหมุนของมันเอง เพราะมันมีปัญญาเข้าใจที่หลวงตาสอน
ก็เลยนึกถึงกงล้อธรรมจักรที่หมุน เมื่อธรรมจักรเคลื่อนตัว วงล้อจะหมุนไปเรื่อย เมื่อข้างในเค้าเดินปัญญา แม้แต่จะหลับหรือรู้สึกตัวตื่น เค้าก็ทำงานของเค้าเอง การหมุนของปัญญามันก็คล้ายกับการหมุนของกิเลสในวงจรปฏิจจสมุปบาท ในแง่ที่ว่า... ถึงที่สุดมันก็จะหยุดหมุนเอง โดยไม่มีใครไปทำให้หยุด ... เนื่องด้วยเหตุปัจจัย
สิ่งที่ปรากฏขึ้นได้ไม่ว่าหยาบละเอียดปานใด แม้ความคิดปรุงแต่งที่ปรุงเป็นปัญญามาสอนจิต ก็เป็นสังขาร เป็นธรรมชาติที่เกิดเองดับเอง ถ้าไม่มี "เรา" เป็นคนคิด ไม่มีใครไปเบรคมัน ไปห้ามมัน เมื่อจบกระบวนการ เขาก็ดับไปเอง เป็นธรรมชาติล้วน ๆ
แต่ที่มีปัญหาคือมีตัวเราเข้าไปร่วมกับมัน แทนที่จะปล่อยให้มันเกิดเองดับเอง ดันมีตัวเราไปแทรกแซงธรรมชาติ
และทันทีที่มี "ตัวแสวง" เพื่ออยากจะทำความเข้าใจกับสังขารที่ผุดขึ้นมา ก็มี "ตัวเสวย" และตัวนั้นแหละคือ "ตัวยึด" คือตัวเราที่ร่วมไปกับสังขาร กลายเป็นความดิ้นรน ค้นหา ประมวลผล อยากจะพาตัวเองไปพ้นทุกข์ แอบมีเป้าหมาย ฯลฯ ... กลายเป็นไม่สิ้นตัวตน ... วนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อย ๆ
หลวงตาได้เมตตาบอกทางแก้ไขไว้แล้วซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ ทุกวัน "แค่เห็นมันเป็นสังขาร แล้วปล่อยให้มันเกิดเองดับเอง"
คือ รู้และเห็นออกมาจากใจว่าสิ่งที่กระเพื่อมไหวตัวใน "ใจ" ทุกอาการที่รับรู้และนำมาเล่าต่อได้เป็น "สังขาร" และไม่มีตัวเราไปยึดถืออาการของสังขาร ปล่อยให้มันเกิดเองดับเอง และไม่ยึดถือใจที่ไม่สังขาร (วิสังขาร) ขณะจิตนั้นจึงพ้นทุกข์ไป ...
อาการที่เจื๊อกวันนี้จึงเข้าไปถึงใจได้มากกว่าครั้งก่อน ๆ ก็เพราะมันมีเหตุของมัน ซึ่งไม่ต้องทำความเข้าใจเจ้าค่ะ แค่ "รู้แก่ใจ" ในปัจจุบันขณะเดี๋ยวนี้ แล้วก็ไม่มีใครไปยึดถือมัน แค่นี้เองเจ้าค่ะ
ขอถวายปรากฏการณ์นี้บูชาพระคุณอันบริสุทธิ์ขององค์หลวงตาเจ้าค่ะ กราบเท้านมัสการมาด้วยความเคารพสูงสุด
หลวงตา : สาธุ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2561