ผู้ถาม : ขอโอกาสครับองค์หลวงตา ก็รู้อยู่ว่ามีตัวเราที่มีสติ ปัญญา คอยดู คอยรู้ คอยตัดสินใจ มันเป็นของมันอย่างนี้ ผมก็รู้ว่า มันเป็นปัญญา เป็นสังขาร มันก็ไม่ใช่เรา ได้แต่รู้ ปล่อยมันไปตลอด แม้กระทั่งตัวที่รู้ว่า ปัญญาเป็น สังขาร ก็ปล่อยวางไป มันไม่เคยจบสิ้น มันเป็นอย่างนี้ตลอด จนหลับไป ตื่นขึ้นมาก็เริ่มใหม่ เป็นอย่างนี้ทั้งวัน หลงบ้าง รู้บ้าง ก็รู้ แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนไม่ใช่เรา ของเรา ไม่มีตัวตน มันเป็นเพียง สังขาร และ วิสังขาร เท่านั่น หลวงตา : สาธุ ธรรมชาติ ก็มีสองประเภทแค่นี้แหละ คือ “ใจ” หรือ ธาตุรู้ ที่เป็นวิสังขาร สุญญตาธาตุ พุทธธาตุ ธรรมธาตุ นิพพานธาตุ และ ขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ รวมทั้งรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ผู้ดิ้นรน ผู้ค้นหา ผู้หาถูกหาผิด ผู้สงสัย ผู้พยายาม ผู้ดู ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจ ผู้รู้แจ้ง ซึ่งไม่ใช่ “ใจ” ทั้งหมด ล้วนเป็นสังขารปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น อนัตตา ส่วน “จิตเห็นจิต” คือ เห็นหรือรู้เท่าทันจิตส่งออกนอก ซึ่งเป็นสมุทัย คือ เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เมื่อไม่หลงส่งจิตออกนอกแล้ว ; เห็น “จิตตสังขาร” เกิดดับใน “วิสังขาร “ รู้แก่ใจว่าบัดนี้เป็น “ใจ” ซึ่งเป็นวิสังขารแล้ว จึงพ้นทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2561