สติ สมาธิ ปัญญา อยู่ที่ใจ
“ใจหรือจิตที่บริสุทธิ์” เป็นธรรมชาติของธาตุรู้ ธรรมธาตุ วิสังขาร มหาสุญญตาธาตุ หรือ นิพพานธาตุ ที่รู้ตัวเรา (ขันธ์ห้า) หรือ กายสังขาร วาจาสังขาร จิตตสังขาร ตลอดเวลา
“อดีตเป็นธรรมเมา อนาคตเป็นธรรมเมา
รู้ปัจจุบัน ไม่ติด ไม่ยึด เป็นธัมมะ ธัมโม”
เมื่อเราที่แท้จริง เป็นวิสังขาร เป็นอสังขตธาตุ เป็นธรรมธาตุ เป็นมหาสุญญตาธาตุ เป็นนิพพานธาตุ แล้ว
ทำไมจึงเอาตัวเราไปดิ้นรนแสวงหานิพพานมาให้ตัวเรา หรือ เอาตัวเราไปยึดถือนิพพานอีก
ทุกสิ่งมันเป็นของธรรมชาติ ยืมธรรมชาติเขามาใช้เป็นขันธ์ห้าชั่วคราว ให้ได้โลดแล่นในโลกนี้ทั้งสุข ทุกข์ ปนเศร้า เมื่อหมดเวลา ธรรมชาติเขาก็ทวงคืนจนหมด
ถ้าปล่อยให้อาการทุกอาการในปัจจุบันขณะ มันเกิดขึ้นและดับไปตามความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น
โดยไม่มีตัวตนของผู้เข้าไปยึดถือด้วยความอยาก หรือ ไม่อยาก หรือ
ไม่มีตัวตนเข้าไปพยายามทำอะไรกับเขา
กิเลสและความทุกข์ก็จะไม่มี เรียกว่า “นิพพาน”
ใจหรือธาตุรู้ที่ไม่ปรุงแต่ง เป็นความสงบ เงียบ สงัดเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติด้วยคุณสมบัติของ “ธาตุรู้” ของเขาเอง
ไม่มีใครบังอาจไปปรุงแต่งหรือทำความพยายามอย่างใด ๆ เพื่อให้เขาเป็นธรรมชาติที่เป็นวิสังขาร ที่ไม่อาจคิด หรือปรุงแต่งได้
เพจหลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย