“เป็นรู้” เรื่อยไป... ไม่ทุกข์ แต่ถ้าไป “เป็นสิ่งที่ถูกรู้” เมื่อไร เป็นทุกข์ทันที
ความไม่มีอะไรเกิดดับ นั่นแหละ พ้นทุกข์
ปล่อยให้ "สังขารปรุงแต่ง" เป็นไปอย่างที่เขาเป็น "ใจหรือจิตเดิมแท้ หรือ วิสังขาร หรือ สุญญตา" ก็คงก็เป็นธรรมชาติที่เงียบ สงบ ว่างเปล่าจากตัวตน ว่างเปล่าจากความปรุงแต่งของเขาเอง
“ใจ” เท่านั้นที่รู้จักใจ ว่า มีแต่ชื่อว่าจิตหรือใจ แต่ไม่มีตัวจิต หรือ ตัวใจ
มีสติ ปัญญาเห็นตามความเป็นจริงว่า สังขารทุกปัจจุบันขณะ ไม่ว่าจะถูกใจ ซึ่งทำให้รู้สึกเป็นสุข หรือ ไม่ถูกใจ ซึ่งทำให้รู้สึกเป็นทุกข์ ล้วนไม่เที่ยง หากหลงยึดถือ ย่อมเป็นทุกข์ หากไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือ ก็พ้นทุกข์
สติกับความรู้มันอยู่ด้วยกัน มันรวมลงที่ใจ ที่รู้สัจธรรมความจริง รู้แจ้งถึงใจที่สิ้นความปรุงแต่ง รู้สิ้นหลง รู้สิ้นยึด รู้ตื่น รู้เบิกบานอย่างเป็นอมตะตลอดกาล ไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ "พุทธะ" พระพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกทั้งหมดในธรรมชาติ
“ความรู้ที่เป็นพุทธะ” (รู้จริง รู้แจ้ง รู้พ้น รู้สิ้นยึด รู้สิ้นหลง รู้ตื่น รู้เบิกบาน) อยู่ในทุกที่ที่มี “ความว่าง” คืออยู่ในทุกธรรมชาติ เพราะในทุกธรรมชาติทั้งหมดมีความว่าง ความรู้ที่เป็นพุทธะอยู่ในทุกที่
ถ้ายังปรุงแต่งมาเป็น “ตัวเรา” เอาตัวเราไปเป็น “ผู้ปรุงแต่ง” มันก็ยังต้องเวียนตายเวียนเกิดในภพทั้งสาม
ต้องเพียรฝึกฝนอย่างหนัก สติอยู่ที่ไหน ความรู้อยู่ที่นั่น ความรู้อยู่ที่ไหน สติอยู่ที่นั่น สติกับความรู้มันอยู่ด้วยกัน จะสักแต่ว่ารู้ได้ต้องมีสติ ฝึกสติอันเดียว... อย่าหลาย !!!
เข้าถึงใจที่ไม่มีอะไรปรากฏ... เป็นธรรมชาติที่ “ได้แต่รู้” แต่ไม่มีอะไรปรากฏเลย มันจึงพ้นจากแรงดึงดูดของโลกทั้งสาม
เพจหลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย