(ปล่อยวาง...) ด้วยการไม่พยายามปล่อยวางให้ได้ มันจะเป็นอย่างไร มันก็เป็นแค่สังขารปรุงแต่ง ไม่ต้องไปพยายามทำอะไรกับสังขาร
ปล่อยให้สังขารปรุงแต่งเป็นไปอย่างที่เขาเป็น ใจหรือจิตเดิมแท้ หรือ วิสังขาร หรือ สุญญตา ก็คงก็เป็นธรรมชาติที่เงียบ สงบ ว่างเปล่าจากตัวตน ว่างเปล่าจากความปรุงแต่งของเขาเอง ไม่มีใครบังอาจไปปรุงแต่งให้เขาสงบจากความปรุงแต่งได้
ยิ่งพยายามให้ใจเป็นธรรมชาติที่สงบ ว่างเปล่าจากตัวตน เป็นธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง กลับหลงสังขารปรุงแต่ง
ปล่อยให้สังขารทุกปัจจุบันขณะเขาจะเป็นอย่างไร ก็คงเป็นธรรมชาติของเขา ไม่เกี่ยวกับเราหรือตัวเรา เพราะตัวตนของเราไม่มีมาตั้งแต่แรก
ที่มีความรู้สึกว่ามีเรา ตัวเรา จะต้องพยายามกระทำอะไร เพื่อ ช่วยให้ตัวเราถึง ตัวเราได้ ตัวเราเป็นอะไร มันจะหลงยึดถือสังขาร เป็น อวิชชา เรื่อยไป
ธรรมชาติแท้ ๆ ไม่มีตัวตนของเรา หรือ ไม่มีตัวจิตตัวใจหรือตัวเราไปอะไรอะไรกับสังขาร และวิสังขาร
เมื่อสิ้นตัวตน หรือ สิ้นตัวจิตตัวใจไปอะไรอะไรกับอะไรในปัจจุบันขณะ ใจหรือจิตเดิมแท้เขาก็เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ว่างเปล่า เป็นธรรมชาติดั้งเดิมแท้ของเขา ที่ไม่มีตัวตน ไม่มีปรุงแต่ง เป็นความสงบ ว่างเปล่าจากตัวตน ว่างเปล่าจากความปรุงแต่ง ซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของวิสังขาร หรือธาตุรู้ หรือธรรมธาตุ หรือ สมมุติชื่อว่า “ใจ” หรือ “จิตเดิมแท้ ๆ”
ความสงบ ความไม่เคลื่อนไหว ความไม่ปรุงแต่งของใจหรือจิตเดิมแท้ ๆ จึงจะหลุดพ้นจากสังขาร หรือ ความปรุงแต่งเป็นเรา ตัวเรา ของเราได้ ไม่ใช่หลงเอาสังขารไปพยายามให้หลุดพ้นจากสังขาร หรือ ความทุกข์
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2561