ผู้ปฎิบัติจำนวนมาก “อ่านใจตนเองไม่ขาด” ยังคงมีความเข้าใจด้วยความจำว่า เราไม่มี หาเป็นความจริงจากใจไม่ ด้วยความหลงยึดถือ ว่ามีเรา ตัวเรา ของเรา แอบแฝงในแต่ละขณะจิต จึงเป็นต้นเหตุของอวิชชาในแต่ละขณะจิต ที่เกิดดับ ต่อเนื่องกันจนดูเหมือนเป็นความจริง ที่ถูกสร้างเป็นเรื่องราวให้หลงยึดถือ และเป็นอวิชชาที่ติดอยู่ในใจมาข้ามภพข้ามชาติเสมอมา ความปรุงแต่งใด ๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจึงเสมือนว่าออกมาจากเรา มีตัวเราเป็นศูนย์กลางของความปรุงแต่งนั้น ๆ
เพราะมีเป้าหมายที่สร้างขึ้นไว้ในใจ เพื่อที่จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ หากมีความพยายามที่จะปล่อยวาง พยายามไม่ยึดถือ ก็ยังคงมีตัวเราเป็นผู้พยายาม เป็นผู้ปล่อยวางและเป็นผู้รองรับการกระทำนั้น ๆ
แม้จะพยายามระลึกไว้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมาที่ขยับที่เคลื่อนไหวในใจ หรือความรู้สึกที่เป็นตัวเรา เป็นเพียงสังขารปรุงแต่ง แค่รู้ ไม่ต้องไปทำอะไรกับอะไร มันเป็นสังขาร มันจะยึด มันจะหลง มันจะรู้จะไม่รู้ ก็เรื่องของมัน ก็ “แค่รู้” แค่เห็นไปตามความเป็นจริงแบบที่หลวงตาได้บอกสอนไว้
แต่ภายใต้การปล่อยวาง หรือ “แค่รู้” กลับมีตัวเราแอบแฝงในการกระทำนั้น เพื่อรองรับผล โดยไม่รู้ตัว หลงคิดว่าได้ปล่อยวางแล้ว ไม่ยึดถือแล้ว เราเป็นเพียงธรรมชาติ เราไม่มี แต่ ลึกลึก ในใจ ยังมีความยึดถือยังคงมีเศษเสี้ยวของความเป็นเราอยู่…
จึงต้องอ่านใจตัวเองให้ขาด..... ว่ามีเราหรือไม่
ให้เห็นจริงเป็นจริงที่ใจ ว่าตัวเรา หรือสังขารทั้งรูปและนามหรือผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจ ที่เกิดขึ้นทุกปัจจุบันขณะเป็นเพียงความปรุงแต่งชั่วขณะจิตที่เกิดดับตามเหตุตามปัจจัย แม้แต่ความรู้ที่คู่สังขาร ก็เป็นสิ่งเกิดดับ ยึดถือไม่ได้
หากความรู้ความเข้าใจที่มีอยู่ยังเป็นเพียงความจำ ต้องเพียรศึกษา สังเกต กัดติดจดจ่อ เรียนรู้ทำความเข้าใจ หมั่นฟังธรรม ของพ่อแม่ครูอาจารย์ และของหลวงตาที่ได้เมตตาชี้แนะ มีสติ สมาธิ ปัญญา รู้ละ ปล่อยวาง
ทุกปัจจุบันขณะ ต้องเด็ดเดี่ยว เด็ดขาด ไม่เปิดโอกาสให้กิเลสครอบงำ !!!
สร้างเหตุ สอนจิต พัฒนาไปตามขั้นตอนของปัญญาสาม (สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา ภาวนามยปัญญา) เพื่อเติมปัญญาให้จิตได้เรียนรู้ เข้าใจ รู้เห็นไปตามความเป็นจริง อย่างที่มันเป็น จนเกิดความเบื่อหน่าย และเห็นความจริงว่าสังขารทั้งหมดเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ จิตจึงคลายความยึดถือของตัวจิตเองในที่สุด
เมื่อสิ้น อุปาทาน สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น สิ้นผู้เสวย อย่างแท้จริง ก็เป็นความรู้ที่ออกมาจากใจ เป็นรู้คู่ใจ เป็นรู้ที่เป็นปัญญาญาณ
ธรรมชาติของสังขารและวิสังขารก็ดำเนินของเค้าไปเอง หามีเรา ตัวเรา ของเรา แทรกอยู่ในส่วนใดไม่
ว่างเปล่าจากตัวตน
ว่างเปล่าจากผู้ยึดถืออะไรให้เป็นอะไร
สมมุติใด ๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาจากความไม่มี ย่อมดับไปสู่ความไม่มีดังเดิม ธรรมชาติส่งคืนให้ธรรมชาติในที่สุดเสมอ
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
27 มิถุนายน 2561
ที่มาภาพ : อัลบัมภาพสื่อธรรม
ที่มาโอวาทธรรม : เวบไซท์ทางการ
http://www.luangtanarongsak.org/home/index.php/2560-3/qa-june-61/item/2099-2018-06-27-20-04-45