ใจหรือธาตุรู้ที่ยังมีอวิชชา หรือ ยังมีความยึดถือขณะจิตใด วิญญาณจะสร้างรูปทิพย์หรือรูปปรมาณูโปร่งแสงมาหุ้มการเกิดดับของอาการขันธ์ห้า
ดังนั้นแม้กระบวนการทำงานของขันธ์ห้าจะเกิดดับตลอดเวลา แต่รูปปรมาณูวิญญาณไม่เกิดดับตามไปด้วย มันเป็นเหมือนสำนักงานให้จิตตสังขารปรุงแต่งเกิดดับ
ส่วนรูปปรมาณูวิญญาณจะเปลี่ยนรูปไปตามจิตที่ไปยึดถือสิ่งใหม่ในปัจจุบันขณะ
หากขณะจิตใดที่สิ้นอวิชชา รูปปรมาณูวิญญาณจะดับไป แล้วไม่เกิดรูปใหม่ เว้นเสียแต่ว่าขณะจิตที่เกิดใหม่หลังจากนั้น เกิดอวิชชาติดมากับจิตอีก ก็จะเกิดรูปปรมาณูวิญญาณอีก
หากสิ้น “อวิชชา” รูปปรมาณูวิญญาณก็ดับไป คงมีแต่จิตตสังขารในขันธ์ห้าเกิดดับในความไม่มีอะไรปรากฏ เรียกว่า “วิสังขาร”
“สิ่ง” ที่ไม่มีอะไรปรากฏนี้ เป็นสิ่งที่ “รู้” ได้ แต่ไม่มีตัวตนของผู้รู้ ผู้ปรุงแต่ง ผู้ยึดถือ
เพียงแต่ไม่ปรากฏอะไรเลย ไม่มีเครื่องหมายหรือ สัญลักษณ์ ไม่ใช่ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่ความว่าง ไม่ใช่อรูปฌาน ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง ไม่เกิดดับ ไม่ปรุงแต่ง ไม่ไปข้างหน้า ไม่ถอยไปข้างหลัง ทั้งไม่หยุดอยู่ ไม่อาจถูกทำลายได้
นี่แหละ คือ ที่สุดแห่งทุกข์
แต่ไม่อาจเอาสังขารในขันธ์ห้า ไปดิ้นรนแสวงหา สิ่งที่ไม่มีอะไรปรากฏได้
ไม่อาจจะใช้จิตนาการหรือความรู้สึกสร้างให้เป็นความว่างเปล่าขึ้นมาได้ และ
ไม่มีใครบังอาจปรุงแต่งช่วยใจให้เป็นความไม่ปรุงแต่งได้
เพราะจะไม่สิ้นหลงปรุงแต่งยึดถือ คือ จะไม่สิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ .. และความทุกข์
จะต้องสิ้นหลงปรุงแต่งยึดถือขันธ์ห้า หรือ สังขาร ว่าเป็นเรา ตัวเรา หรือ ของเรา เท่านั้น
เพราะรู้เห็นด้วยใจว่า สังขารทั้งหมด เป็นเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นธรรมดา แล้วสิ่งทั้งหมดนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา ไม่อาจยึดถือฝากผีฝากไข้ได้ หากหลงยึดถือ ก็จะเป็นทุกข์ จึงจะสิ้นหลงยึดถือ หรือสิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ … และความทุกข์ทั้งมวล
เมื่อสิ้นความหลงปรุงแต่ง หรือสิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทานแล้ว ใจก็เป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ เป็นธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง ไม่ปรากฏการเกิดดับ ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปพรรณสัณฐานใด ไม่มีแม้ตัวจิตตัวใจ จึงไม่อาจยึดถือสิ่งใดให้เป็นทุกข์ได้
โอวาทธรรมหลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2561