จะไปทำอะไร ก็มีเบื้องหลังแอบแฝงอยากให้เราหรือตัวเราไปได้ ไปเป็น ไปบรรลุอะไร มันเป็นกิเลส หรือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ทำให้เกิดภพชาติ … และความทุกข์ทั้งมวล
ความจริงของธรรมชาติ คือ ไม่มีตัวตนของเราที่เป็นส่วนเกินธรรมชาติเลย ถ้ามีความรู้สึกว่ามีเราหรือตัวเรา จะไปเอา ไปได้ ไปถึง ไปเป็นอะไร มันจะเป็นส่วนเกินของธรรมชาติ จึงไม่สามารถกลืนหายไปในธรรมชาติได้ จิตหรือวิญญาณมันจะเหลือตัวตนโปร่งแสง ให้ยมทูตเขามาเอาตัวไปพิพากษาและต้องรับผลกรรมได้
ให้มีสติ ปัญญา เห็นผู้รู้ ปล่อยวางผู้รู้ทุกปัจจุบันขณะ เพราะ ผู้รู้เป็นจิตหรือวิญญาณขันธ์ ที่ทำงานร่วมกับเจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขาร ทุกปัจจุบันขณะ
ดังนั้น ถ้าไม่รู้เท่าทันผู้รู้ และ ไม่ปล่อยวางผู้รู้ทุกปัจจุบันขณะ ก็จะปล่อยวางขันธ์ห้าไม่ครบห้าขันธ์ และ เมื่อไม่เห็นผู้รู้ ก็จะหลงสังขาร หรือ หลงเอาสังขารคือขันธ์ห้ามาคิดปรุงแต่งยึดถือเป็นเรา ตัวเรา หรือของเรา
ถ้าปล่อยวางสังขารหมดตลอดเวลา จนถึงต้นจิต คือ ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร เลยจากนั้นไปจนไม่มีที่หมาย จะเป็นความไม่มีอะไรปรากฏเลย
หรือ รู้เห็นจากใจว่า “สังขาร” ทั้งหมดทุกปัจจุบันขณะ ก่อนเกิดก็ไม่มี มีแล้วก็ดับไปเสียทั้งหมดเป็นธรรมดา
หรือ สังขารทั้งหมดทุกปัจจุบันขณะเกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีตัวตนของผู้ยึดมั่นถือมั่น ก็สิ้นกิเลส พ้นทุกข์
ดังนั้น จะปฏิบัติอย่างไรก็ได้ แต่ต้องสิ้นความหลงยึดถือว่ามีตัวตนของเรา หรือ มีตัวเรา เพราะ หลงสังขาร หรือ หลงยึดถือขันธ์ห้าเท่านั้น จึงหลงเอาสังขารหรือขันธ์ห้ามาคิดปรุงแต่งเป็นความหลงว่ามีตัวตนของเราในความรู้สึก
ถ้าพ้นสังขารแล้ว ก็ไม่อาจเอาสังขารมาหลงปรุงแต่งเป็นอะไรได้
ก็ได้แต่แค่รู้เท่านั้น แต่ก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ”รู้” เพราะเขาเป็นธรรมชาติ หรือ เป็นธรรมธาตุ
โอวาทธรรมหลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2561