หั ว ใ จ ของปฏิจจสมุปบาท
---------------------
อ่านใจตัวเองให้ขาดก่อนนะว่า
ไอ้ที่ดูน่ะ เพื่อจะไปเอาอะไร หรือแค่รับรู้ตามธรรมชาติ
คือ มันเป็นธรรมชาติที่ต้องรู้กัน
ไม่ใช่เป็นธรรมชาติที่เราไปดู
อันนี้ชอบไปนั่งดู ไปพยายามดูมัน...ไม่ใช่ธรรมชาติ
มันเป็นธรรมชาติที่สิ่งหนึ่งเกิดขึ้น
อีกสิ่งหนึ่งก็ต้องไปรู้
ธรรมชาติสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นอีกสิ่งหนึ่งก็ต้องไปรู้
มันเป็นธรรมชาติ คือ เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นอีกสิ่งหนึ่งก็จะไปรู้
มีรูปเกิดขึ้นมา มีตาไม่บอด "วิญญาณขันธ์" ก็ต้องไปรับรู้รูปทางตาเมื่อเหตุปัจจัยมันไม่เสียหาย มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นพร้อม
เพราะมีรูปปรากฏ ตาไม่บอด วิญญาณขันธ์ก็ย่อมไปทำงาน คือ การเห็นรูปนั้น โดยผ่านประตูตา
มีเสียงดังขึ้นอย่างเสียงหลวงตาพูดอย่างเนี้ยหูไม่หนวกวิญญาณขันธ์ก็ต้องไปรับรู้เสียงตามปกติธรรมชาติของเขา
เมื่อรับรู้แล้วเขาก็ดับไปทั้งคู่ไม่ใช่ว่าผู้รู้คาอยู่นะ!!!
เพราะว่าวิญญาณขันธ์ ต้องไปเกิดรับรู้ทางประตูใหม่ต่อ ๆ ไป
เมื่อรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็จะต้องส่งต่อมาที่ประตูใจ
มาปรุงแต่งที่ประตูใจเป็น "ธรรมารมณ์"
เกิดเวทนาสัญญาสังขารที่ประตูใจเป็นธรรมารมณ์
แล้ววิญญาณขันธ์ก็ไปรับรู้เวทนาสัญญาสังขารที่ประตูใจ
แล้วก็พอรับรู้แล้วก็ต้องส่งต่อเวทนา... สัญญา... สังขาร ....
เหตุปัจจัยมันหมุนวนแบบนี้เรื่อยไปไม่จบสิ้น! จนกว่าธาตุจะแตกขันธ์จะดับ
เป็นธรรมชาติที่เขารับรู้ของเขาเองตามธรรมชาติ
เป็นธรรมชาติที่เขา "มีการรับรู้กันเอง" ตามธรรมชาติ
เพราะสิ่งหนึ่งเกิดอีกสิ่งหนึ่งจึงเกิดมา
คือ เพราะสิ่งหนึ่งเกิด อีกสิ่งหนึ่งจึงเกิดมารู้ และเมื่ออีกสิ่งดับไป อีกสิ่งที่มารู้นั้นก็ดับไป
นี่แหละ "หัวใจของปฏิจจสมุปบาท" ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
พอมีสิ่งหนึ่งเกิด อีกสิ่งหนึ่งก็เลยเกิด
พอมีรูปเกิดมา "จักขุวิญญาณ" ก็เลยไปรับรู้รูปนั้นแต่ต้องประกอบกัน คือ ตาไม่บอด
เพราะมีเสียงเกิดมามีเสียงดังขึ้นมา
หูไม่หนวก "โสตวิญญาณ" ก็ต้องเกิดมารับรู้เสียงนั้นแล้วก็ดับไป
ดับไปก็เพราะอะไร?
"เพราะเสียงดับไป" โสตวิญญาณก็เลยดับไป
เพราะรูปเกิดขึ้นมาจักขุวิญญาณก็เลยเกิดมารับรู้รูปนั้น
และเพราะรูปนั้นดับไปจักขุวิญญาณก็เลยดับไป
พอเสียงเกิดขึ้นมา "โสตวิญญาณ" ก็เกิดขึ้นมารับรู้เสียงนั้น
พอเสียงนั้นดับไปโสตวิญญาณก็ดับไป แล้วเกิดเสียงอันใหม่ เกิดเสียงใหม่คือคำพูด แต่ละคำ ๆ แต่ละคำ
แล้วก็พูดขึ้นมาใหม่แต่ละคำแล้วก็เกิด "โสตวิญญาณ" ไปรับรู้เสียงใหม่แต่ละคำ และก็จะดับไปเป็นช่วง ๆ ที่ตัดตอนที่เสียงจบไป
ทางกลิ่นก็เหมือนกันพอมีกลิ่นเกิดขึ้นมา "ฆานะวิญญาณ" ก็ไปรับรู้กลิ่นทางจมูก เพราะมีกลิ่นเกิดฆานะวิญญาณจึงเกิด
พอกลิ่นดับฆานะวิญญาณก็ดับ
พอมีรสมากระทบลิ้น "ชิวหาวิญญาณ" ก็เกิดขึ้นมารับรู้รสนั้น
พอรสนั้นดับไปชิวหาวิญญาณนั้นก็ดับไป
พอโผฐฐัพพะสิ่งมากระทบผิวกายเกิด "กายวิญญาณ" ก็มารับรู้สิ่งที่มากระทบผิวกาย
เมื่อโผฐฐัพพะสิ่งมากระทบผิวกายดับไป
กายวิญญาณก็ดับไป
เมื่อมีธรรมารมณ์เกิดขึ้นมาในใจ คือ เวทนา สัญญา สังขาร เป็นธรรมารมณ์ คือ อาการเกิดขึ้นมาในใจก็เกิด "มโนวิญญาณ" มารับรู้ธรรมารมณ์นั้น
เมื่อธรรมารมณ์นั้นดับไป มโนวิญญาณก็ดับไป
*** นี่หัวใจของพระพุทธศาสนา ***
คือ เพราะสิ่งนี้มี... สิ่งนี้จึงมี
เพราะสิ่งนี้เกิด... สิ่งนี้จึงเกิด
เพราะสิ่งนี้ดับ... สิ่งนี้จึงดับ
ไม่มีใครที่จะไปคอยดูมันถึงจะเห็นถึงจะรู้
เพราะมีสิ่งนี้เกิด ... "ความรู้" มันจึงเกิด
เพราะสิ่งที่ถูกรู้ดับความรู้มันจึงดับ
แล้วมันก็ไปรู้อันใหม่
พอมีรู้อันใหม่เกิด ความรู้อันใหม่เกิด
ความรู้ใหม่ดับ ผู้รู้อันใหม่ก็เลยดับไป
เพราะสิ่งนี้เกิด... สิ่งนี้จึงเกิด... เพราะสิ่งนี้ดับ... สิ่งนี้จึงดับ
ไม่ใช่เราพยายามไปดูไปรู้ไว้ให้มันเป็นอะไร
อ่านใจตัวเองให้ขาด ไอ้ที่เราพยายามไปดูไปรู้ไว้น่ะ
มันเป็นธรรมชาติที่เขารู้กันไม่ใช่ว่าเราไปดูมันไว้
เราไปดูมันไว้น่ะมันต้องมีคาดหมายเอาไว้ว่าจะเอาอะไร อ่านใจเราเองไม่ขาดต่างหาก
ต้องอ่านใจตัวเองให้ขาด แล้วตอบให้ตรงใจตัวเอง ว่าที่เราไปดูใจตัวเองเอาไว้ นั่งเพ่งเอาไว้ ดูให้รู้เห็นเอาไว้
จะไปเอาอะไร!!!
...........................
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย