วิธีพบใจ
-------------
(หลวงตาสอนศิษย์) นั่นแหละ ... รอฟังคำตอบไปอย่างนั้นแหละ แต่อย่าเอาคำตอบ
รอฟังคำตอบอย่างนี้ไปชั่วชีวิต แต่อย่าเอาคำตอบ
เพราะในใจตอนนี้รอฟังคำตอบ
"จงรอฟังคำตอบไปตลอดชีวิต ชั่วชีวิต แต่อย่าเอาคำตอบ"
ไม่งั้นมันจะมี "ผู้" ไปเอา แต่ถ้ามีแต่ ความรอ ความสงสัย
ไม่ได้หาคำตอบจากความสงสัย ไม่เป็นกิเลส
มีแต่อาการของใจตามปกติธรรมชาติ แต่ถ้าจะไปเอาผลของคำตอบจากที่สงสัย เป็น "กิเลส"
อ่านใจตัวเองให้ขาด ... ให้มันสงสัยไปอย่างนี้แหละ
แต่อย่าไปเอาคำตอบจากที่สงสัย
ให้มันรอไปอย่างนี้แหละ
แต่อย่าหวังว่าจะได้คำตอบอะไรจากหลวงตา
มีแต่ "อาการรอ" มีแต่ "อาการสงสัย" ไม่เป็นกิเลส
แต่ถ้าจะไปเอาคำตอบจากความสงสัย จะเอาคำตอบจากหลวงตา
อันนั้นเป็นกิเลส เพราะจะมีผู้ไปเอา
เป็น อวิชชา กิเลสตัณหา อุปาทาน ยังมีความยึดถือ เราจะไปได้อะไร เราจะได้คำตอบ เราจะสิ้นสงสัย
แต่มันไม่ใช่เป็นการรู้ที่ใจตนเอง รู้แจ้งจากใจตนเอง
รู้ที่ใจตนเอง ว่าสิ้นผู้ที่จะไปเอาอะไร
มีแต่กิริยาอาการเท่านั้นเอง ผู้จะไปเอาอะไรไม่มี
"สิ้น"... ไม่มีผู้จะไปเอาอะไร
ให้เห็นมันมีแต่กิริยาอาการของ ความสงสัย ... สงสัย ... สงสัย
แต่ตัวตน ของผู้ที่จะไปเอาคำตอบจากความสงสัยไม่มี
แล้วมันจะเป็นอะไร ...? มีแต่สงสัยก็สงสัยไปสิเอ้า
ปล่อยมันสงสัยไปเลย สงสัยก็สงสัย ไม่มีใครจะไปเอาอะไร
จากความสงสัย
ไม่มีใครไปหาคำตอบจากสงสัย ตัวตนของผู้ไปเอาคำตอบก็ไม่มี ตัวตนของผู้ที่จะไปเอาให้หายสงสัยก็ไม่มี
ทุกอย่างนี้ มีแต่ อาการ อาการ อาการ
มีแต่เงาของใจ หรือ เงาของจิต ตัวของจิตไม่มี
ตัวตนของใจไม่มี ..... มีแต่เงา
มันจะมีอาการอะไรก็ช่างมันเลยในปัจจุบันนี้
อยากให้มีอาการก็มีไป แต่ไม่มีใครไปทำอะไรกับอาการ
เพราะมันเป็นเงา ทุกอาการเป็นเงาหมด
เป็นเงาของจิตหรือเงาของใจ ตัวใจไม่มี ไม่มีตัวใจ
ไม่อาจจะหาตัวใจพบ เพราะตัวใจไม่มีตัวตน
ไม่มีตัวใจ มีแต่เงา
เราพบมันได้แต่เงาเท่านั้น คือ พบมันได้แต่อาการ
แต่ไม่พบตัวมันได้
ทั้งคืนนั่งอยู่อย่างนี้มันก็คงมีแต่อาการของใจ
หรือ มีแต่เงาของจิต แต่ไม่มีหรอก ตัวใจก็ไม่มี ตัวตนของเราก็ไม่มี
เพราะเราคือความไม่มีตัวตน เราไม่มีตัวตน
ไม่มีตัวตนของเรา มีแต่ "ความรู้ที่ไม่มีตัวตน"
มันก็เลยเหลือแต่ว่ารู้เห็นตามความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้นจริง
และดับจริงในใจของเรา
รู้เห็นตามความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้นจริง
และดับไปจริงในใจของเรา
เป็นประตูก้าวข้ามโลกไปสู่พระนิพพาน
คือ “ยถาภูตญาณทัสสนะ” รู้เห็นและยอมรับตามความเป็นจริงอย่างที่มันเป็นในทุกขณะปัจจุบัน
นี่แหละ คือ ประตูก้าวข้ามโลกไปสู่พระนิพพาน
ไม่มีใครจะไปเอาผลของสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ไม่มีตัวตนของผู้ที่จะไปเอาคำตอบให้หายสงสัย
มีแต่รู้เห็นและยอมรับตามความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้นจริง
และดับไปจริงต่อหน้าต่อตาในขณะปัจจุบัน
ทุกขณะ ทุกขณะปัจจุบัน
นั้นแหละแล้วก็จะพบ “ใจ” ที่ไม่ดิ้นรน
วิธีจะพบ "ใจ"
คือ สิ้นหลงสังขาร สิ้นสังขาร สิ้นยึดถือสังขาร จึงจะพบใจ
เราไม่อาจจะไปหาใจตรงๆ ได้ ไม่อาจจะเอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปหาใจตรงๆได้ มีวิธีเดียวเท่านั้นที่เราจะพบใจ
คือ สิ้นสังขาร หรือสิ้นหลงสังขาร หรือสิ้นยึดสังขาร
ยอมรับตามความเป็นจริงของสังขารที่ปรากฏเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปตามความเป็นจริงในทุกขณะปัจจุบัน ไม่ถูกดูดไม่ถูกผลัก
ไม่ถูกดูดด้วยความพอใจ ถูกใจ ชอบใจ
ไม่ถูกผลักเพราะความเกลียดชัง ทั้งไม่ถูกดูด และไม่ถูกผลัก เพราะยอมรับตามความเป็นจริงซื่อๆ ตรงไปตรงมาอย่างที่มันเป็นทุกขณะปัจจุบัน จึงไม่ถูกทั้งดูดไม่ถูกทั้งผลัก
นั่นแหละ คือใจแท้ๆ หรือจิตเดิมแท้
หรือเรียกว่า "สุญญตา"
ไม่บวกไม่ลบ
มันก็จบลงในปัจจุบันทุกขณะปัจจุบันแค่นี้แหละ
มันก็พบกับความสงบร่มเย็น
เมื่อใจมันสงบแล้วเราจึงเห็นว่า
ขันธ์ห้าเนี่ยมันเกิดดับหมุนวนไปตามเหตุปัจจัยของมัน
ไม่มีใครเกี่ยวข้องกับมันอีกต่อไป
จิตที่มันแสดงกิริยาอาการเกิดดับหมุนวนไปเรื่อย ๆ
ตามเหตุตามปัจจัยของมัน
มันเกิดดับอยู่ในใจที่ไม่เกิดดับ
หรือ "ความมี" มีอยู่ใน ค ว า ม ไม่ มี
............................
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย