----------------------------------
เพราะความ ป ร า ร ถ น า ความสุขหมดไป
ความทุกข์จึงหมดไปพร้อม
-----------------------------------
มีแค่ "ปัญญารู้เท่าทัน" อ่านใจตัวเองให้ขาดแค่นั้นเอง ปัญญามีหน้าที่อ่านใจตัวเองให้ขาดว่า... ในทุกขณะปัจจุบันเนี่ย "มันจบที่ใจตนเอง" หรือ มันจะเอาใจตัวเองน่ะไปเอาอะไร
ไปแสวงหาอะไรนอกใจตนเอง
หรือมันจบที่ใจของตัวเอง ที่ไม่มีแม้แต่ตัวใจ
เคยถามหมอผ่าตัดหลายคน ลูกศิษย์หลวงตาเป็นหมอเยอะแยะ หมอผ่าตัดมาทั้งชีวิตน่ะหมอเคยผ่าเจอตัวใจมั้ย ...? "ไม่เคยเจอ"
ผ่าไปเจอแต่เนื้อ เลือด กระดูก เส้นเอ็น เส้นประสาท ไม่เคยเจอใจเลย
ถ้า "ใจ" มีตัว หมอต้องผ่าเจอ... เจอตัวใจแล้ว
หมอก็ไม่เคยเจอใจ ไม่เคยเจอตัวใจ
แล้วเราจะไปหาใจที่ไหนล่ะ...? ก็ในเมื่อมันไม่มีตัวแล้วจะไปหามันยังไงเจอ ของมันไม่มีตัว
เออ... เราไปหา มันต้องมีอะไรสักอย่างหนึ่งจะหาให้เจอ นี่ของมันไม่มีตัว เราไปหามันก็ไม่เจอ อยากจะหาใจให้พบมันไม่เจอหรอก
ที่เขาบอกว่า "พบใจพบธรรม ถึงใจถึงพระนิพพาน" มันเป็นเพียงสำนวนเฉย ๆ แต่ไม่ได้พบมันได้หรอกเพราะมันไม่มี มันไม่มีตัวใจ
มันไม่อาจจะเห็นถูกรู้ได้ทางประตูตา ประตูหู ประตูจมูก ประตูลิ้น ประตูกาย ประตูใจ
มันไม่อาจเอา "วิญญาณขันธ์" ไปรู้มันโดยผ่านอายตนะได้ เพราะมันเป็นของที่ไม่สามารถหามันได้ด้วยทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เพราะมันเป็นของไม่มีตัวตน... ไม่มีรูปร่าง... ไม่มีรูปพรรณสัณฐานใด ๆ เลย
พระพุทธเจ้าตรัสว่ามันเป็น "อสรีรัง"
อะ ก็แปลว่า "ไม่" สรีระ ก็คือ รูปพรรณสัณฐาน
มันไม่มีรูปพรรณสัณฐานอะไร ไม่มีตัวตนไม่มีรูปร่างไม่มีกิริยาอาการใด ๆ เลย
ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีสว่าง ไม่มีมืด ไม่มีผ่องใส ไม่มีเศร้าหมอง ไม่มีอะไรสักอย่างเดียว และ ไม่มีอะไรอยู่ในมันได้
มันไม่มีเนื้อแท้ที่อะไรจะไปฝากไว้ในเนื้อมันได้เพราะมันไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรอยู่ในมันได้ แต่จะพบมันได้ยังไง?
ก็นี่ไง .....หยุด!!!
" หยุด"
หยุดเป็นบวก หยุดเป็นลบ... "สุญญตา"
จะไปเอา!....จะเอาใจไปเอา เอาใจไปเอาโน่นเอานี่ จะเอา จะเอา...........
เอาใจไปเอานิพพาน เอาใจไปเอาความสุข รังเกียจทุกข์ เกลียดทุกข์ เกลียดความอีดอัด เกลียดความแน่น จะเอาใจไปเอา โปร่ง โล่ง เบา สบาย จะเอาใจไปหาสุขที่ทุกข์ไม่มี
พระพุทธเจ้าก็เคยตรัสว่า....
"อานนท์" ด้วยบารมีของเรา... เราทำมาถึง ๔ อสงไขยแสนมหากัป ในชาติปัจจุบันก็อีก ๖ ปีเต็ม
ตถาคตคิดว่าที่สุดแล้วเนี่ย ถึงที่สุดของการดิ้นรนแสวงหา คือ ไปพบความสุขที่ทุกข์ไม่มี
ไปจนสุดบวกแล้วก็ทิ้งลบจนหมดสิ้น
ตราบใดที่ยังเดินทางไปทางบวก ลบก็ติดมาเท่ากัน ไปบวกหนึ่งก็ลบหนึ่ง ไปบวกสองก็ลบสอง
ไปบวกสามก็ลบสาม เพราะเหมือนลูกตุ้มนาฬิกามันก็แกว่งสมดุล ถ้ามันยังแกว่งไปบวกมันก็แกว่งไปลบ แกว่งไปบวกเท่าไหร่ มันก็แกว่งไปลบเท่านั้น
ยิ่งอยากจะหาไปให้ไกลที่สุดขอบฟ้า คือ ไปที่สุดของความสุขที่ทุกข์ไม่มี ไปไกลจนสุดขอบฟ้า นาฬิกา.... เหมือนกับลูกตุ้มนาฬิกาถูกดึงไปสุด ๆ ขอบมันน่ะ แล้วเวลามันตีกลับมันก็แรงน่าดูเลย
ดังนั้นคนที่พยายามไปจับความนิ่ง ความว่าง มันจึงโมโหแรงมาก เพราะเวลามันตีกลับทีหนึ่งมันจึงอารมณ์ร้ายมากเลย
พวกที่ไปจับนิ่ง จับเบา จับสบาย จับว่าง เวลาลูกตุ้มนาฬิกามันตีกลับไปทางด้านทุกข์ ที่ใครมากระทบทำให้ไม่สามารถจะมีความสุขได้ มีความสุขอยู่ดี ๆ เหมือนกับหมากำลังแทะกระดูกอยู่มัน ๆ ใครมาแย่งเอากระดูกที่ทำให้มันมีความสุขมัน ๆ กับการแทะกระดูก มันหายไป
โอ้โห... มันกัดแหลกเลย มันทุกข์แหลกเลย
พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับอานนท์ว่า... "อานนท์" สิ้นสุดแล้วเราหาจนที่สุดแล้ว แสวงหาความสุขที่ทุกข์ไม่มีจนถึงที่สุดแล้ว เราไม่สามารถแสวงหาได้
ยิ่งแสวงหามากเท่าไหร่ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น ทุกข์เพราะการแสวงหา...
ที่สุดจึงยอมแพ้.... "คืนสุขให้แก่ทุกข์ไป"
ขณะที่จิตของพระองค์หยุดแค่นั้นแหละ หยุดดิ้นรนแสวงหา พระนิพพานก็ขึ้นมาสวมเลย
พระองค์จึงรำพึงขึ้นว่า... เพราะความปรารถนาความสุขหมดไป ความทุกข์จึงหมดไปพร้อม...
..................................
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย