ทุกขณะจิตปัจจุบันที่มีความรู้สึกที่ว่า ......
เรา .... รู้
เรา ..... เห็น
เรา ..... .ยังทำใจไม่ได้
แม้แต่เรา ..... ทำใจได้แล้ว
หรือมีความคิด ความรู้สึกว่า เรา .....
หรือ ตัวเรา ......
ก็ ให้มีสติ ปัญญาสอนใจตนเองทุกขณะจิตที่มีความคิด
ความรู้สึกเหล่านี้ว่า ..... ความคิด ความรู้สึกในขณะนั้นเป็นจิตปรุงแต่ง หรือ เป็นอาการของจิต
หรือ เป็นอาการของขันธ์ห้า
หรือเป็นเพียงพลังงานที่เกิดดับ ไม่เที่ยง ไม่ใช่เรา
ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ไม่มีตัวตนของเราอยู่ในขันธ์ห้า ไม่มีตัวตนของเราจริง ๆ
ตัวตนของเราไม่มี ..... ไม่มีจริง ๆ ๆ ๆ ๆ ..........
คงมีแต่ใจ หรือจิตเดิมแท้ หรือ วิญญาณดั้งเดิมแท้ ๆ
ที่มีแต่ความรู้ แต่ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง ไม่มีที่อยู่
ไม่อาจมีกริยาอาการใดได้เลย
ให้อยู่กับรู้ที่ไม่อาจคิดได้ ไม่อาจมีความรู้สึกได้
ไม่อาจมีอารมณ์ได้
ให้เป็นใจนั้น เป็นความว่างเปล่าจากตัวตน
ว่างเปล่าจากความคิด ว่างเปล่าจากความรู้สึก
ว่างเปล่าจากอารมณ์
อย่าหลงไปเป็นคิด หรืออย่าหลงไปเอาผู้คิด ผู้รู้สึก ผู้มีอารมณ์
ว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา หรือ เป็นต้วตนของเรา
อย่างนี้มันจะเป็น "อวิชชา" เรื่อยไป
ต้องเป็นใจหรือจิตเดิมแท้ หรือวิญญาณดั้งเดิมแท้ ๆ ที่มาเกิด แล้วเมื่อร่างกายจิตใจที่ปรุงแต่งเป็นความรู้สึกนึกคิด
หรืออารมณ์ดับไป จะได้เป็นใจที่ไม่มีตัวตน หายตัวไปกับความว่างของธรรมชาติ
อย่าลืมนะ!
ทุกขณะจิตที่คิดหรือรู้สึกว่าเป็นตัวเรา
หรือเป็นเรา เรา เรา ๆๆๆๆๆ .......... ให้เตือนทันทีว่า
ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ตัวตนของเราไม่มี หรือเราไม่มีตัวตน
เป็นเพียงวิญญาณ หรือใจหรือจิตเดิมแท้
ซึ่งเป็นแต่รู้ที่เป็นความว่างเปล่าจากตัวตน
ว่างเปล่าจากความคิด ว่างเปล่าจากความรู้สึก
แต่ทำไมตอนนี้จึงเอาผู้กำลังคิด ผู้กำลังรู้สึกเป็นเรา
เป็นตัวเราเสียเล่า ทำไมเราจึงคิดได้
ทำไมเราจึงมีความรู้สึกได้เสียเล่า
คงมีแต่เพียงวิญญาณหรือใจหรือจิตเดิมแท้ ๆ
ที่มาเกิดเป็นความว่างเปล่าจากตัวตน
ว่างเปล่าจากความรู้สึก ว่างเปล่าจากอารมณ์
ได้แต่รู้เพียงอย่างเดียว หรือแค่รู้ แค่รู้ แค่รู้
หรือ รู้ไม่คิด คิดไม่ใช่รู้
ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง
"ความรู้สึกว่าง" เป็นสุขเวทนาในขันธ์ห้า
ไม่ใช่ใจที่ว่างจากตัวตน ว่างจากความคิดปรุงแต่ง
ว่างจากอารมณ์
แม้แต่ใจก็ไม่มีตัวใจด้วย
ถ้ารู้สึกว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบาย นิ่ง เฉย ล้วนแต่เป็นเวทนาขันธ์ ให้ปล่อยวางความสนใจ ให้ค่า ให้ความสำคัญ
อาการเหล่านั้นไปเสีย
เพราะจะเป็นการยึดถือเวทนาหรือยึดถือขันธ์ห้า
#วิธีปล่อยวาง
ทุกขณะจิตปัจจุบันที่มีความรู้สึก ว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบาย
ก็ให้ถามตัวเองว่าอาการเหล่านั้นเขารู้ตัวเขาเองได้หรือไม่
หรือว่าใครเป็นผู้รู้ว่าเราว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบาย
หรือมีอาการตรงกันข้าม
ก็จะได้รับคำตอบว่าเราเป็นผู้รู้อาการเหล่านั้น
ก็ให้ **สังเกตที่ตัวเราผู้รู้** ก็จะเห็นหรือพบว่า ไม่ได้มีแต่ความรู้สึกว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบาย หรือมีอาการตรงกันข้ามเพียงอย่างเดียว แต่มีตัวเราคิดตรึกตรองเหมือนพูดอยู่กับตัวเองตลอดเวลา เช่น พูดกับตัวเองว่า เราว่างจริง ๆ
เอ! มันถูกหรือเปล่า เราจะทำอย่างไรต่อไปอีก .... เป็นต้น
ก็ให้แค่ **สักแต่ว่ารู้ว่าเห็น ** ตัวเราที่คิดตรึกตรอง
และทุกขณะจิตปัจจุบัน ตัวเรารู้อะไรจะต้องคิดตรึกตรองอยู่ในใจตลอดเวลา
ขอย้ำว่าตลอดเวลา !
จะดับเขาก็ไม่ได้ ทำได้เพียงแค่สิ้นผู้เสวยเขาตลอดเวลาเท่านั้น
ก็จะพบใจที่เป็นเพียงแค่รู้ ที่เป็นความว่างเปล่า ไม่มีตัวตน
ไม่มีรูปร่าง ไม่มีการกระเพื่อม ไม่มีกริยาอาการใด
ส่วนความคิด ความรู้สึก หรืออารมณ์ต่าง ๆ เกิดดับในใจที่ไม่ปรากฏอะไรนั้น
พระอริยะเจ้าทั้งหมดอยู่กับรู้ซึ่งเป็นวิญญาณ
หรือ ใจหรือจิตเดิมแท้ ๆ ที่สิ้นอวิชชานั้น
เป็นวิญญาณ หรือใจ หรือจิตที่บริสุทธิ์ ว่างไพศาลไม่มีขอบเขตเป็นหนึ่งเดียวกับความว่างของธรรมชาติหรือจักรวาล
เป็นมหาสุญญตา หรือจักรวาลเดิม
....................................
หลวงตาณรงศักดิ์ ขีณาลโย