โยม 1 : กราบนมัสการขอโอกาสองค์หลวงตาเจ้าค่ะ
ไฟล์เสียงวันนี้สุดยอดมากเลยเจ้าค่ะ ขนาดว่าอยู่ในเหตุการณ์ ยังมาชัดเจนยิ่งขึ้นตอนได้มาฟังไฟล์ทบทวนอีกครั้งเจ้าค่ะองค์หลวงตา ไฟล์เสียง "201005B-1 เริ่มต้นจากความไม่มี (set zero) ตอนที่ 1" ที่กราบเรียนถามองค์หลวงตาไปนั้น ตอนถามแล้วฟังองค์หลวงตาตอบตอนนั้นรายละเอียดไม่ชัดเจนในจิต
พอมาฟังทบทวนใหม่ ทำให้นึกถึงคำว่า "ปัจจยาการของสังสารวัฏฏ์" เลยเจ้าค่ะ ที่เริ่มต้นในขณะ "จิตแรก" ที่พร้อมเบ็ดเสร็จ ด้วย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เกิดขึ้นมาจากความไม่มีจิต เกิดเป็นจิตขึ้นมา
การที่องค์หลวงตาเมตตาอธิบายขยายความในปัจจยาการ ทำให้อ่านคำสอนขององค์หลวงปู่มั่นเรื่อง "มูลการของสังสารวัฏฏ์" ได้เข้าใจเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นเลยเจ้าค่ะ
เห็นภาพความเป็นปัจจัยสืบเชื้อของอวิชชา ที่เริ่มมาจากจิตแรก เพราะมีอวิชชาจึงหลงยึดถือตัวมันเอง เพราะยึดถือตัวมันเองจึงเป็นอวิชชา โลกทั้งสามเกิดมาจากตรงนี้เองใช่มั้ยเจ้าคะองค์หลวงตา เป็นมูลตันไตรที่องค์หลวงปู่บอกไว้ เพราะสังขารทั้งหมดอยู่ภายใต้กฏของ "ไตรลักษณ์"
เมื่อเกิด "วิชชา" จึงสิ้นหลงตัวมันเอง สิ้นสงสัยในภพชาติ ทำให้เข้าใจเห็นภาพว่าที่สุดแห่งธรรม คืออะไร...
กราบขอบพระคุณองค์หลวงตาอย่างสูงสุดเจ้าค่ะ ไม่คิดว่าเกิดมาจะได้มีโอกาสได้ฟัง "พระสัทธรรม" ที่จริงแท้ได้ถึงขนาดนี้ ทำให้สำนึกในพระคุณของพระพุทธเจ้า... พระธรรม... พระอริยสงฆ์... พระคุณพ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตาอย่างที่สุด ที่เมตตาทุ่มเทสั่งสอนอบรมแล้วอบรมอีก ไม่มีถ้อยคำใดจะทดแทนได้เลยเจ้าค่ะ
แม้เป็นเพียงความเข้าใจที่ยังไม่ถึงใจ แต่ทรงคุณค่าหาประมาณมิได้ยิ่งนักเจ้าค่ะ เป็นชาติที่ดีที่สุดที่ได้เกิดมาจริง ๆ ดังที่องค์หลวงตาเคยบอกไว้จริง ๆ เจ้าค่ะ
ยิ่งนับวันความเป็นเหตุปัจจัยสืบต่อ (เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี.....") ช่างชัดเจนกระจ่างขึ้น ๆ ความเป็นเหตุปัจจัยที่ไร้ สัตว์... บุคคล... ช่างแสดงข้อเท็จจริงอันเป็น "สัจจะอันประเสริฐ" อย่างไม่ขาดสายตลอดเวลาเจ้าค่ะองค์หลวงตา
ความเห็นผิดต้องยอมศิโรราบต่อพระธรรมเพราะดึงดันต่อไปไม่ได้แล้วจริง ๆ เจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ
~~~~~~~~~~
โอวาทธรรมองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่โยมกล่าวถึง
มูลการของสังสารวัฏฏ์
"ฐีติภูตํ อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา อุปาทานํ ภโว ชาติ"
คนเราทุกรูปนามที่ได้กำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ล้วนแล้วแต่มีที่เกิดทั้งสิ้น กล่าวคือมีบิดามารดาเป็นแดนเกิด ก็แลเหตุใดท่านจึงบัญญัติปัจจยาการแต่เพียงว่า "อวิชฺชา ปจฺจยา..... ฯลฯ" เท่านั้น... อวิชชาเกิดมาจากอะไรฯ ท่านหาได้บัญญัติไว้ไม่ พวกเราก็ยังมีบิดามารดา อวิชชาก็ต้องมีพ่อแม่เหมือนกัน ได้ความตามบาทพระคาถาเบื้องต้นว่า "ฐีติภูตํ" นั่นเองเป็นพ่อแม่ของอวิชชา
"ฐีติภูตํ" ได้แก่ จิตดั้งเดิม เมื่อฐีติภูตํประกอบไปด้วยความหลงจึงมีเครื่องต่อ กล่าวคือ อาการของอวิชชาเกิดขึ้น เมื่อมีอวิชชาแล้วจึงเป็นปัจจัยให้ปรุงแต่งเป็น "สังขาร" พร้อมกับความเข้าไปยึดถือ จึงเป็นภพชาติ คือ ต้องเกิดก่อต่อกันไปท่านเรียก "ปัจจยาการ" เพราะเป็นอาการสืบต่อกัน "วิชชา" และ "อวิชชา" ก็ต้องมาจากฐีติภูตํเช่นเดียวกัน
เพราะเมื่อ "ฐีติภูตํ" กอปรด้วย "วิชชา" จึงรู้เท่าอาการทั้งหลายตามความเป็นจริง นี่พิจารณาด้วยวุฏฐานคามินีวิปัสสนา รวมใจความว่า "ฐีติภูตํ" เป็นตัวการดั้งเดิมของสังสารวัฏฏ์ (การเวียนว่ายตายเกิด) ท่านจึงเรียกชื่อว่า "มูลตันไตร" (หมายถึงไตรลักษณ์)
เพราะฉะนั้นเมื่อจะตัดสังสารวัฏฏ์ให้ขาดสูญจึงต้องอบรมบ่มตัวการดั้งเดิมให้มี "วิชชา" รู้เท่าทันอาการทั้งหลายตามความเป็นจริง ก็จะหายหลง แล้วไม่ก่ออาการทั้งหลายใด ๆ อีก
"ฐีติภูตํ" อันเป็นมูลการก็หยุดหมุน หมดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ด้วยประการฉะนี้...
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ที่มา : มุตโตทัย (มูลการของสังสารวัฏฏ์)
http://luangpumun.org/muttothai_2.html#6
~~~~~~~~~~
โยม 2 : โยมคิดเอาเองว่า โยมเข้าใจทั้งข้อความของโยม 1 และ บทความของท่านพระอาจารย์มั่นเรื่อง "ฐิติภูตัง" และ "ฐิติญาณัง" เพราะเคยอ่านมาก่อน และได้ทำความเข้าใจมาแล้วว่ามูลเหตุของอวิชชามาจาก "ความหลง" ที่ก่อเกิดในจิตดวงแรก แล้วส่งต่อกันมาเป็นปัจจยาการสืบทอดมาเรื่อย ๆ และทำให้มีภพชาติสืบเนื่องมาตลอด ๆ ตราบใดที่ยังไม่สิ้นอวิชชา (ความหลงยึดมั่น)
การมี "วิชชา" ที่เป็น "สัมมาทิฐิ" คือปัญญาเห็นชอบขั้นสูงสุด คือ "สิ้นยึดมั่นถือมั่น" เท่านั้น จึงจะทำลายอวิชชาลงได้ราบคาบ ใช่ไหมเจ้าคะ แล้วปัญญาสูงสุดที่ต้องมี คือ หลักธรรมชาติ ธรรมดา ๆ นี้เอง (ไม่ได้มีอะไรพิสดารเลย) แค่เห็นด้วยปัญญาตรงตามความเป็นจริงของธรรมชาติ ของสิ่งที่เป็นอยู่ (วิสังขาร) และ สิ่งที่มีขึ้นและดับไป (ของสังขาร-ปรุงแต่ง) เท่านั้น
ธรรมชาติของทั้งสองอย่างเป็น "ตถตา" คือ เป็นเช่นนี้ ไม่สามารถเป็นอย่างอื่นไปได้ ว่าไปแล้วตอนนี้โยมเชื่อมคำนี้..."ตถตา"... กับทุก ๆ สิ่ง ทำให้รู้สึกว่าเดินได้อย่างมั่นคงด้วยสติ... สมาธิ... ปัญญา ในการพิจารณาธรรมได้ต่อเนื่อง ๆ เจ้าค่ะ ถูกต้องหรือเปล่าคะท่าน
แต่ที่โยมยังรู้สึกติดใจอยู่นิด ๆ คือ ความหลง ใน "ฐิติภูตัง" นั้นยังมีที่มาอีกป่าวคะ ขอท่านพระอาจารย์เมตตาชี้แนะความเข้าใจที่ยังคลาดเคลื่อนให้ด้วยนะเจ้าคะ ปัญญาน้อยเจ้าค่ะ ตามท่านพระอาจารย์ยังไม่ค่อยทันเลยเจ้าค่ะ
กราบนมัสการมาด้วยความเคารพยิ่งเจ้าค่ะ
~~~~~~~~~~~~~~~
หลวงตา : ความหลงในฐีติภูตัง (อวิชชาในจิตเดิมแท้) มีที่มาจาก “อาสวะ” คือ กิเลสเครื่องดองสันดาน ได้แก่...
"กามาสวะ" คือ ความดิ้นรนทะยานอยากในกาม
"ภวาสวะ" คือ ความดิ้นรนทะยานอยากในภพ
"อวิชชาสวะ" คือ ความดิ้นรนทะยานอยากด้วยความไม่รู้แจ้งใน "อริยสัจสี่" คือ ทุกข์... สมุทัย... นิโรธ... มรรค... เช่น ดิ้นรนทะยานอยากหลุดออกจากกาม ดิ้นรนทะยานอยากหลุดออกจากภพ ดิ้นรนทะยานอยากหลุดออกจากความทุกข์
ซึ่งรวมความดิ้นรนทะยานอยากแล้ว ได้แก่ อยากเอา อยากได้ อยากเป็นโน่น อยากเป็นนี่ อยากเป็นอย่างนั้น อยากเป็นอย่างนี้ อยากรู้ อยากเห็น อยากรู้แจ้ง อยากสำเร็จ อยากไม่ให้เป็นอย่างนั้น อยากไม่ให้เป็นอย่างนี้ อยากพ้นทุกข์ หรือ อยากนิพพาน
"อวิชชา" มาจาก "อาสวะ"
แล้วอาสวะ มาจากไหน?
"อาสวะ" ก็มาจาก “อวิชชา”
คือ ความไม่รู้แจ้งใน "อริยสัจสี่" หรือ ไม่รู้แจ้งใน "ปฏิจจสมุปบาท" จึงหลงยึดมั่นถือมั่นว่ามีเราเป็นตัวเป็นตน... เป็นเรา... เป็นตัวเรา... เป็นของเรา หรือ เพราะหลงยึดถือว่ามี "กู" จึงมี "ของกู" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ อวิชชา-อาสวะ หรือ อาสวะ-อวิชชา... กิเลสวัฏฏ์... กรรมวัฏฏ์... วิปากวัฏฏ์... ตัณหา... อุปาทาน... ภพ... ชาติ... ชรา... มรณะ และ ความทุกข์ทั้งมวล
จึงมีเรา หรือ ตัวเราหลงสังขารคิดปรุงแต่ง ดิ้นรนทะยานอยาก และ เกิดความสงสัย???? ในใจตลอดเวลา
โดยไม่มีสติ... สมาธิ... ปัญญารวมเป็นหนึ่ง รู้เท่าทันจิตที่แสดงพฤติกรรมอย่างนั้นในปัจจุบันขณะว่า มีเรา ตัวเราหลงสังขารคิดปรุงแต่ง หรือ มีเรา ตัวเราหลงเป็นผู้ขับเคลื่อนสังขาร เพื่อให้ตัวเราสมใจอยาก ซึ่งเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทานตลอดเวลา เป็นวัฏฏะสงสารหมุนวนในอวิชชา กิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์ แล้วก็อวิชชา กิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์ อย่างนี้เรื่อยไป......
ดังนั้นถ้าดับ "อวิชชา" ซึ่งเป็นความไม่รู้แจ้งในอริยสัจสี่ หรือ ในปฏิจจสมุปบาท ให้เป็นความรู้แจ้ง (วิชชา) ขึ้นมา แล้ว “อวิชชา” ซึ่งเป็นความไม่รู้ก็จะดับไป เมื่ออวิชชาดับ กิเลส กรรม และ วิบากก็ดับหมด หรือ ปฏิจจสมุปบาทดับหมดเรียกว่า “สอุปาทิเสสนิพพาน”
แต่เมื่อยังไม่ตายสังขารในขันธ์ห้ายังเกิดดับทำหน้าที่ของเขาอยู่ ในที่สุดก็ต้องเสื่อม แก่ เจ็บ ตาย ดับหมดทั้งกิเลส ความทุกข์ และ ขันธ์ห้าเป็น “อนุปาทิเสสนิพพาน”
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
25 ตุลาคม 2563
ติดตามสื่อธรรมที่เกี่ยวข้องเพื่อความเข้าใจถึงใจเพิ่มเติม
ประชาสัมพันธ์สื่อธรรม : ไฟล์เสียงและสื่อธรรม ชุด สมาธิ ฌาน ญาณ (สมถะ วิปัสสนา)
http://www.luangtanarongsak.org/home/index.php/2017-10-14-13-20-39/2020-02-06-08-06-17/item/6070-10-oct19-63-dama-info-46
ประชาสัมพันธ์สื่อธรรม : ไฟล์เสียงและสื่อธรรม ชุด ธรรมอันเป็นที่สุด
http://www.luangtanarongsak.org/home/index.php/2017-10-14-13-20-39/2020-02-06-08-06-17/item/6071-10-oct19-63-dama-info-47
~~~~~~~~~~~~~~~