โยม : ที่หนูเข้าใจ และกราบเรียนหลวงตาไปเมื่อวานนี้
คือ "ธาตุรู้" นั้น... แค่รู้เท่านั้น รู้ทุกอย่าง ทุกอาการของใจ
แต่หลวงตาบอกว่า... ไม่ใช่รู้เอ๋อ!... แต่ต้องรู้ว่าไม่มีตัวเราเข้าไปยึด คือ ต้องอาศัยสติ ปัญญา (รู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) เป็นเรือข้ามฟาก แต่ไม่ไปเป็นเรือ และ ไม่ยึดเรือ
แต่ที่หนูเป็นคือหนูไปยึดเรือ ไปตั้งรู้ ไปยึดรู้เป็นเรา เราเป็นรู้ (เลยทำให้ถูกพลังอัด) ซึ่งหลวงตาเคยบอกหนูแล้วครั้งนึงก่อนหน้านี้เจ้าค่ะ แต่หนูก็ยังไปยึดรู้ ตั้งรู้ มีหนูที่กลัวว่าจะไม่เป็นรู้
การปฏิบัติธรรม คือ ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่มีสติสัมปชัญญะรู้เท่าทันสังขาร และเห็นว่ามันเป็นเพียง "สังขาร"... เป็นสิ่งที่ถูกรู้ เป็นอาการของใจ ไม่ไปยึดหรือเห็นว่าสังขารนั้นเป็นเรา หรือ มีเราไปยึดสังขาร
ที่หนูเขียนมาทั้งหมดนี้เป็นสัญญาที่จำมาจากที่หลวงตาเมตตาสอน แต่ยังไม่ถึงใจ หรือ รู้ด้วยใจ
กราบ กราบ กราบ
กราบขอบพระคุณหลวงตาเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ
หลวงตา : หลงเอาตัวเราไปเป็นสังขาร คิดปรุงแต่งดิ้นรนค้นหา อยากเอาตัวเราไปเป็น “ใจ” หรือ "ธาตุรู้แท้" (วิสังขาร สุญญตาธาตุ หรือ นิพพานธาตุ)
มันเป็น "อะวิชชาปัจจะยา สังขารา สังขาระปัจจะยา วิญญาณัง วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง นามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนัง..........ตัณหา อุปาทาน......ทุกข์...ฯลฯ"
ต้องรู้เห็นด้วยใจในปัจจุบันขณะว่า ภายในใจมีตัวเราโถมเข้าไปแสดงกิริยา หรือ อาการอย่างนั้น รู้แล้วไม่หลงกระทำตาม ไม่พยายามดับสังขาร
ไม่พยายาม ไม่กระทำตามด้วยความหลงผิดว่าจะรักษาใจไว้เพื่อให้เป็นใจไม่ปรุงแต่ง (วิสังขาร) แต่การกระทำเช่นนี้ล้วนเป็นสังขารปรุงแต่ง หรือ เป็น “ใจปลอม” เพราะเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
*****ส่วนใจแท้ ธรรมแท้ สุญญตาธาตุ นิพพานธาตุ เป็นวิสังขาร หรือ อสังขตธาตุ อสังขตธรรม ซึ่งเป็นธรรมไม่ปรุงแต่ง หรือ ไม่อาจปรุงแต่งให้เป็นได้
จึงไม่อาจจะปรุงแต่งพยายามทำอย่างไรให้เป็น “ใจแท้” หรือ “ธรรมแท้” ได้ นอกจาก “ปล่อย-วาง” เท่านั้น
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
23 กรกฎาคม 2563
~~~~~~~~~~~~~~~