ปฐมเหตุสืบเนื่องจากปุจฉาวิสัชนาธรรมอันเกี่ยวเนื่องกับวีดีโอไซอิ๋ว ในกลุ่ม Line OpenChat : ธรรมจากหลวงตาณรงค์ศักดิ์
วีดีโอไซอิ๋ว (1) ตอน ตัวจริง-ตัวปลอม และ (2) ตอน คัมภีร์ไร้ตัวอักษร (เรือไม่มีท้อง ไร้เริ่มต้น ไร้สิ้นสุด) เป็นวีดีโอที่นำมาใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ธรรมะเท่านั้น แต่ลิ้งก์วีดีโออาจมีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่เป็นสาธารณะเพื่อการศึกษาธรรม แม้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์
เพื่อประโยชน์โดยธรรม จึงเผยแพร่เนื้อหาเป็นถอดความจากวีดีโอ ซึ่งสามารถอ่านได้จากท้ายข้อความปุจฉาวิสัชนาธรรมด้านล่างนี้
~~~~~~~~~~~~~~~
ปุจฉาวิสัชนาธรรม เกี่ยวกับวีดีโอไซอิ๋ว ตอน ตัวจริง-ตัวปลอม
โยม : กราบนมัสการค่ะ กราบขอโอกาสค่ะ โยมได้ดูวีดีโอไซอิ๋ว (ตัวปลอม ตัวจริง) เรื่องวานรหกหู เปรียบเหมือนอายตนะหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เจ้าวานรหกหู มีหูที่ดี รู้เหตุผล รู้สรรพสิ่ง รู้ก่อนหลัง ใครพูดอะไรรู้ได้หมด "รูป-เสียง" (ตัวปลอมในเรื่อง)
(ในเรื่อง) “ไม่มีตัวปลอม” เมื่ออายตนะไม่บริสุทธิ์ เห็นรูปแล้วขณะจิตที่มีโทสะ ความโกรธ ขาดสติ เพราะอวิชชา หลอมจนมีอวิชชาบังใจ (หรือ จิตเดิมแท้)... มีในไม่มี ว่างในไม่ว่าง ไม่มีคือมี ไม่ว่างคือว่าง... รูปคือรูป นามรูปเรียกขาน (เอาไว้สื่อสารกัน)
กราบ กราบ กราบ
“มีในไม่มี” สิ่งรู้สึกว่า มี-ไม่มี, ว่าง-ไม่ว่าง
กราบขอโอกาสเมตตาค่ะ “ไม่ว่างคือว่าง”, “ไร้รูปคือรูป” โยมเบาปัญญาไม่เข้าใจค่ะ ความโง่ ๆ ๆ (อวิชชา) ยึดในสิ่งที่ไม่มี...
หลวงตา :
“มีในไม่มี” หรือ “มี....ไม่มี”
คือ สิ่งที่มีทั้งหมด ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อสิ้นเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ย่อมดับไปเป็นธรรมดา มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนคงที่ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
“ว่างใน ไม่ว่าง” หรือ “ว่าง ไม่ว่าง”
คือ ถ้ารู้สึกว่าง แสดงว่ามีความรู้สึกว่าเราว่างแล้ว เราถึงความว่างแล้ว หรือ ใจของเราว่าง จึงไม่ว่างจากมีตัวเรายึดความว่าง
“ไม่ว่าง คือ ว่าง”
ไม่ว่าง หมายถึง สิ่งที่มี สิ่งที่มีทั้งหมด (สังขาร) มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นมาจากความว่าง เมื่อสิ้นเหตุปัจจัยปรุงแต่งก็ต้องดับกลับคืนไปสู่ความว่าง ดังนั้น ไม่ว่าง คือ ว่าง
“ไม่มี คือ มี”
คือ ความไม่มีอะไรปรากฏเลย ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา หญิงชาย... เป็นธรรมแท้ เป็นธรรมที่มั่นคง เป็นวิสังขาร อสังขตธาตุ อสังขตธรรม อมตธาตุ อมตธรรม ธรรมธาตุ นิพพานธาตุ สุญญตาธาตุ ไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิดดับ ไม่ถูกทำลาย ไม่เคลื่อนที่ ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่หยุดนิ่ง นี่แหละ คือ ที่สุดแห่งทุกข์
“ไร้รูป คือ รูป”
หมายถึง สิ่งที่ไม่มีนั้น มีอยู่จริง
***** เมื่อใจรู้แจ้งสัจธรรมความจริงดังกล่าวจึงสิ้นหลงยึดมั่นถือมั่นทั้งความมี และ ความว่าง ไม่มีตัวตนของผู้ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา...
ถึงซึ่งความ “ไม่มี” หรือ ไร้รูป คือ ไม่มีอะไรปรากฏ... เป็นธรรมแท้ เป็นวิสังขาร อสังขตธาตุ อสังขตธรรม อมตธาตุ อมตธรรม ธรรมธาตุ สุญญตา นิพพาน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
โยม : และตอนท้ายตัววานร เข้าไปตีฆ่าตัววานรหกหู ทำไมพระพุทธยูไลห้ามไว้จึงกล่าวว่ามันเป็นบาป ตามที่โยมเข้าใจเสมือนมี (ตัว) ผู้รู้ เข้าไปทำลายจิตปรุงแต่ง เพราะอวิชชา ไม่รู้ความจริง รู้แก่ใจว่าจิตปรุงแต่งทุกตัวไม่มีตัวตน เค้าเกิดเองดับเองค่ะ
หลวงตา : “ตอนท้ายตัววานร เข้าไปตีฆ่าตัววานรหกหู ทำไมพระพุทธยูไล ห้ามไว้จึงกล่าวว่ามันเป็นบาปกรรม”
เหมือนกับผู้ปฏิบัติธรรมที่เป็น “อวิชชา” คือ ไม่รู้ว่าจิตเดิมแท้ซึ่งเป็นธาตุรู้ตามธรรมชาติที่ไม่มีอะไรปรากฏมีอยู่จริงตลอดกาล เพราะเป็นวิสังขาร... ไม่เกิดดับ
แต่ผู้ปฏิบัติธรรมกลับพยายามฆ่าสังขารให้ตาย เพื่อให้เหลือแต่จิตเดิมแท้ จึงเป็นอวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารกรรม สังขารกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณกรรม... ในปฏิจจสมุปบาท ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดไปรับผลกรรมในภพภูมิต่าง ๆ
ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมเกิด “วิชชา” หายโง่ ก็จะเกิด “ญาณ” รู้แจ้งจากใจว่า ไม่ต้องพยายามฆ่าสังขาร (เปรียบเหมือนพยายามฆ่าวานรตัวปลอม) เพื่อให้เหลือแต่วานรตัวจริง คือ “จิตเดิมแท้” เพราะสังขารเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดเองดับเอง โดยไม่ต้องพยายามฆ่า และ ผู้พยายามฆ่าสังขาร เพื่อให้เหลือแต่จิตเดิมแท้ (วิสังขาร) ก็จะเป็นอวิชชา เป็นสังขารตัวปลอมเรื่อยไปเพราะ “วิสังขาร” จะปรุงแต่งพยายามฆ่าสังขารไม่ได้
เพียงแต่รู้แจ้งจากใจ (ญาณ) ว่าอะไรจริง อะไรปลอมเท่านั้น เพราะของจริงย่อมไม่ปลอม ของปลอมย่อมไม่จริง เปรียบเหมือนของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้ (คิดปรุงแต่งได้) ของไม่จริง
“ตอนท้ายวานรตัวปลอมถูกฆ่าตาย เหลือแต่วานรตัวจริง” เป็นดังพุทธพจน์ที่ว่า
“เตสัง วูปะสะโม สุโข” ความระงับดับสังขารเสียได้เป็นสุขอย่างยิ่ง
หรือ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต กล่าวในขันธวิมุติสะมังคีธรรมะว่า “ไม่สังขาร ก็มีธรรมที่มั่นคง นี่แหละคือองค์ธรรมเอกวิเวกจริง” หมายถึง สังขารตัวปลอมตายแล้ว จึงเหลือแต่วิสังขาร (ธรรมจริง)
ซึ่งสังขารจะตายสองครั้ง คือ
ครั้งแรก คือ สังขารที่หลงยึดเป็นตัวเรา ของเรา แล้วหลงเอาตัวเราไปยึดสังขาร และ วิสังขาร ได้ตายจากใจ จะเป็น “สอุปาทิเสสนิพพาน”
ครั้งที่สอง คือ ขันธ์ห้าตาย จะเป็น “อนุปาทิเสสนิพพาน”
เหลือแต่จิตหรือใจเดิมแท้ หรือ ธาตุรู้แท้ เป็นวิสังขาร อมตธาตุ...........
เป็น “เอโกธัมโม หรือ เอกะธัมโม หรือ จิตหนึ่ง คือ พุทธะ”
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
3 กรกฎาคม 2563
~~~~~~~~~~~~~~~
วิสัชนาธรรม เกี่ยวกับวีดีโอไซอิ๋ว คัมภีร์ไร้ตัวอักษร (เรือไม่มีท้อง ไร้เริ่มต้น ไร้สิ้นสุด)
หลวงตา : การส่งต่อพระธรรมคำสอนออกจากจิตหรือใจ ที่ไม่มีตัวจิต ตัวใจ ก็เหมือนกับเรือไม่มีท้องเรือ ทำหน้าที่ส่งคนข้ามฟากจากทะเลทุกข์ ไปฝั่งนิพพาน
เรือไม่มีท้องเรือมันไม่ยึดเรือ (จิตไม่ยึดจิต หรือ ใจไม่ยึดใจ)
มันแค่ส่งคนข้ามฟาก มันไม่ยึดคนข้ามฟาก
(มันไม่ยึดว่าเราทำความดี เราเป็นผู้สอน เป็นครู เป็นอาจารย์ และ ไม่ยึดศิษย์ หรือ ผู้ถูกสอน)
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
11 พฤษภาคม 2563
ที่มาภาพประกอบไซอิ๋วเพื่อการศึกษาธรรมะ : http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2010/07/Y9489341/Y9489341.html
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ถอดเนื้อหาจากวีดีโอไซอิ๋ว ตอน ตัวจริง-ตัวปลอม
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ฉากที่ 1 โพธิสัตว์กวนอิมแยกจริง-ปลอมไม่ได้
วานรหกหู-หงอคง : เรามาที่นี่เพื่อขอให้ท่านช่วยแยกจริง-ปลอม
หงอคง : ข้าคือตัวจริง ส่วนเค้าน่ะคือตัวปลอม
วานรหกหู : ข้าเนี่ยตัวจริง เจ้านั่นแหละตัวปลอม
พระโพธิสัตว์กวนอิม : พวกเจ้าหยุดเถียงกันก่อน แล้วก้าวมาข้างหน้า ข้าจะแยกให้
วานรหกหู-หงอคง : ขอรับ
พระโพธิสัตว์กวนอิม : ข้าจะท่องมนต์รัดเกล้า ถ้าคนใดเจ็บปวดคือตัวจริง คนที่ไม่เจ็บคือตัวปลอม
วานรหกหู-หงอคง : พระโพธิสัตว์ หยุดเถอะ พอเถอะ อย่าท่องเลย
พระโพธิสัตว์กวนอิม : จะทำยังไงดีเนี่ย
~~~~~~~~~~~~~~~~
ฉากที่ 2 ตัวจริง-ตัวปลอมแยกชัดโดยพระยูไล (พุทธะ)
พระพุทธเจ้า : มีในไม่มี ว่างในไม่ว่าง รูปในไร้รูป ไร้ในไม่ไร้ ไม่มีคือมี ไม่ว่างคือว่าง ไร้รูปคือรูป ว่างคือไม่ว่าง ไม่ว่างคือว่าง รูปก็คือรูป รูปไร้รูปลักษณ์ รูปก็คือว่าง เป็นเพียงนามรูปที่ไว้เรียกขาน
ลูกศิษย์ : เราต่างรอฟังธรรมะ เหตุใดทรงหยุดเทศน์เสียละ
พระพุทธเจ้า : พวกเจ้าตั้งใจฟังธรรมะจึงไม่รับรู้เรื่องอื่น ลองมองสองตัวนั้นดูซิ
วานรหกหู-หงอคง : ยูไล... ปีศาจนี้ปลอมเป็นข้า ช่วยแยกตัวจริง-ตัวปลอมให้ทีซิ ศิษย์คุ้มครองพระถังซัมจั๋งไปอัญเชิญคัมภีร์ ระหว่างทางผ่านปีศาจ ไม่รู้เหนื่อยมาเท่าไหร่
พระพุทธเจ้า : เจ้าสองคนพูดประสานเสียง ทำลายความสุขที่นี่ จงพูดมากันทีละคน
วานรหกหู-หงอคง : ฟังไม่รู้เรื่อง
วานรหกหู : อาจารย์ของข้าใจเหี้ยมโหด แล้วก็ไล่ข้าไปด้วย เลยมีเจ้าปีศาจแปลงร่างเป็นข้า เลียนแบบเสียงข้า ทำร้ายอาจารย์ แล้วแย่งของอาจารย์ไป จากนั้นศิษย์ซัวเจ๋งเค้าไปหาข้าที่เขา เจ้าปีศาจนี่ยังแต่งเรื่องหลอกลวงว่าจะไปเชิญ พระไตรปิฎก สู้มาถึงทะเลใต้เพื่อแยกแยะอ่ะ
หงอคง : นึกไม่ถึงพระโพธิสัตว์ก็แยกไม่ออก ก็เลยสู้จากสวรรค์ถึงยมโลกอ่ะ ก็ยังแยกแยะไม่ออก จึงได้มาบังอาจมาขอให้ท่านน่ะได้โปรดช่วยเมตตา เพื่อช่วยเราแยกแยะจริง-ปลอม
พระพุทธเจ้า : ฮ่า ๆ ๆ
หงอคง : พระยูไลท่านหัวเราะทำไมฮะ
พระพุทธเจ้า : พวกเจ้าลองดูหน่อยซิว่าแตกต่างกันยังไง
ลูกศิษย์ : แยกไม่ออกจริง ๆ เหมือนกันเพียงนี้ ถือเป็นเรื่องประหลาดยิ่งนัก
พระพุทธเจ้า : โพธิสัตว์เหวินซูเป็นอาจารย์เจ็ดพระพุทธะ เชื่อว่าน่าจะแยกแยะได้
พระโพธิสัตว์เหวินซู : ช่างน่าละอายนัก ศิษย์เองก็ไม่อาจที่จะแยกแยะได้จริง ๆ
พระพุทธเจ้า : โพธิสัตว์ผู่เสียน
พระโพธิสัตว์ผู่เสียน : ศิษย์เองก็แยกแยะไม่ออก
พระพุทธเจ้า : โพธิสัตว์กวนอิมมาแล้ว
พระโพธิสัตว์กวนอิม : กราบเฝ้าพระพุทธองค์
พระพุทธเจ้า : โพธิสัตว์กวนอิม ท่านมาได้ก็ดี เห้งเจียทั้งสองตัวนี้ ใครเป็นตัวจริง ใครเป็นตัวปลอม
พระโพธิสัตว์กวนอิม : วันก่อนศิษย์ได้เคยลองแยกแยะแล้ว แต่ก็แยกไม่ออก พวกเค้าไปถึงสวรรค์ยมโลก ก็ตัดสินไม่ได้ จึงได้มากราบเฝ้าพระองค์ เพื่อขอให้พระองค์แยกแยะ
พระพุทธเจ้า : พวกเจ้ามีฤทธิ์มากมาย สามารถรู้เรื่องในจักรวาลแต่ยังมิอาจเข้าใจทุกสรรพสิ่ง
พระโพธิสัตว์กวนอิม : ขอทรงช่วยแถลงไขด้วย
พระพุทธเจ้า : เจ้านี่คือวานรหกหู มีหูที่ดี รู้เหตุผล รู้ก่อน-หลัง เข้าใจสรรพสิ่ง หากลิงหกหูยืนอยู่ที่ใด จะฟังเรื่องได้พันลี้ ใครพูดอะไรก็รู้ได้หมด จึงได้บอกว่าถนัดการฟัง รู้เหตุผล รู้ก่อน-หลัง รู้สรรพสิ่ง จึงสามารถมีรูป มีเสียง เหมือนหงอคงได้ ก็คือวานรหกหู
พระโพธิสัตว์กวนอิม : วานรหกหูยังไม่รีบเผยตัวตนออกมา จะรอถึงเมื่อไหร่
หงอคง : เจ้าปีศาจ
พระพุทธเจ้า : หงอคง อาตมาจะจับให้เอง
หงอคง : พระยูไลไม่ให้ข้าฟาด เท่ากับปล่อยให้ปีศาจทำชั่ว
พระพุทธเจ้า : หงอคงเค้าถูกขังอยู่ในบาตรอาตมาแล้ว จะไปทำชั่วได้ยังไง
หงอคง : ข้าขอดูหน่อย อยู่จริงมั๊ย
วานรหกหู : โอ๋ย ๆ ๆ
หงอคง : สมควรละ
พระโพธิสัตว์กวนอิม : คนอายตนะไม่บริสุทธิ์จึงเป็นทุกข์ไม่สิ้นสุด ลิงตนนี้มีหูมากกว่าคนอื่นมาก ถึงได้มาตบตาหลอกลวงคน ทำปลอมเป็นจริง ปลอมจริงเป็นปลอม
หงอคง : เจ้าปีศาจมาทำร้ายอาจารย์ข้า ทำข้าเสียชื่อ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่
พระพุทธเจ้า : หยุดก่อน
หงอคง : ไม่หยุด (แล้วหงอคงก็ใช้กระบองฟาดวานรหกหูทันที โดยไม่ฟังเสียงห้ามของพระยูไล)
พระพุทธเจ้า : เวรกรรม ๆ เจ้าลิงป่าลงมือโหดไปแล้ว
หงอคง : พระยูไล อย่าไปสงสารมันเลย เจ้าปีศาจทำร้ายอาจารย์ข้า ขโมยของข้าไป ทำผิดฐานปล้นทรัพย์ ทำร้ายคน มีโทษต้องประหาร อ้าว... เฮ้ย! ศพเจ้าปีศาจนั่นล่ะ แปลกแฮะ... หาย
พระพุทธเจ้า : หกหูคืออายตนะหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
หฤทัยสูตรกล่าวว่า ใจคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ลิงตัวนี้มีอายตนะเพิ่มมาหก ก็มีใจเพิ่มมาหนึ่งและตอนนี้ถูกเจ้าฆ่าไปแล้ว จึงเหลือเพียงใจดวงเดียว ส่วนอย่างอื่นก็ไม่เหลืออีกแล้ว
พระโพธิสัตว์กวนอิม : เจ้าอย่าคิดมากหรือระแวงไปเลยนะ
พระพุทธเจ้า : หงอคง ตอนนี้จริง-ปลอมแยกชัด เจ้ารีบกลับไปคุ้มครองพระถังมาเชิญคัมภีร์เถอะ
หงอคง : แต่เดี๋ยวก่อนพระยูไล
พระพุทธเจ้า : หงอคงอย่าดื้อเลย... ให้พระโพธิสัตว์กวนอิมไปส่งเจ้า
~~~~~~~~~~~~~~~~
ฉากที่ 3 สุญญตา คือ พุทธะที่เป็นจิตเดิมแท้
หงอคง : อาจารย์ ๆ ๆ
ซัวเจ๋ง : เจ้าลิงบ้ายังกล้ามาอีกเหรอ อาจารย์ต้องตายเพราะเจ้า
หงอคง : ศิษย์น้องซัวข้าเอายามาให้
ซัวเจ๋ง : ยาอะไร? เจ้าทำร้ายอาจารย์
หงอคง : โมโห ๆ ๆ นี่เป็นยาของพระโพธิสัตว์กวนอิมน่ะ
ซัวเจ๋ง : พระโพธิสัตว์เหรอ
หงอคง : ถูก ๆ ๆ ๆ อาจารย์ ๆ ๆ ๆ ๆ นี่แน่ะ อาจารย์ ๆ มา ๆ อาจารย์ดื่มซะหน่อย อาจารย์ ๆ ๆ ฟื้นแล้วเหรอ
พระถังซัมจั๋ง : เจ้า ๆ มาได้ยังไง
หงอคง : ไม่ใช่แค่ข้านะ ท่านดู พระโพธิสัตว์ก็มาเยี่ยมท่าน นั่นไงอยู่บนนั้น
พระถังซัมจั๋ง : คารวะพระโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์กวนอิม : อันที่จริงเจ้าคือวานรหกหูปลอมเป็นเห้งเจีย เค้าถูกพระยูไลจับได้ ถูกหงอคงกำจัดแล้ว เจ้าคงต้องรับหงอคงเอาไว้ ทางข้างหน้ามีมารอีกมาก ต้องมีเค้าคอยคุ้มครอง ถึงไปพบพระพุทธองค์ที่เขาคิชกูฏได้ อย่าได้กล่าวโทษเค้าอีกเลย
หงอคง : ใช่ ๆ ข้าต้องอยู่ช่วย ไม่งั้นไปไม่ถึงนะ
พระถังซัมจั๋ง : ศิษย์น้อมรับคำชี้แนะ
หงอคง : พระโพธิสัตว์ข้ามีเรื่องนึงที่ไม่เข้าใจ ยังเง็ง ๆ อยู่เลย
พระโพธิสัตว์กวนอิม : เรื่องอะไรเหรอ
หงอคง : ทำไมพระพุทธองค์อธิบายได้อย่างง่ายดาย มีแต่ท่านที่รู้ตัวจริงของปีศาจ พระโพธิสัตว์พวกท่านเองก็มีฤทธิ์มาก ทำไมถึงมองไม่เห็นร่างที่แท้จริงของวานรหกหูอ่ะ
พระโพธิสัตว์กวนอิม : ความหมายที่แท้จริงของคำว่า “โพธิสัตว์” คือช่วยสรรพสัตว์ โพธิ์สัตว์ยังมีความรู้สึก ดังนั้นจึงยังไม่บรรลุระดับของพุทธะ
ซัวเจ๋ง : แล้วระดับของพุทธะคืออะไร
พระโพธิสัตว์กวนอิม : อันสุญญตา คือ พระพุทธะ เป็นจิตเดิมแท้ มีแต่จิตนี้จึงแยกแยะจริง-เท็จได้ ถ้าจะว่าไปแล้ว ไม่ใช่พระพุทธองค์แยกตัวจริง-ตัวปลอม แต่เป็นตัวเจ้าเองต่างหาก
หงอคง : อ้าวศิษย์น้องเจ้าเข้าใจเปล่า ข้าไม่เข้าใจ
ซัวเจ๋ง : ศิษย์พี่ คราวนี้ข้าไม่เข้าใจว่า ต่อหน้าพุทธะ โพธิสัตว์ ท่านฆ่าวานรหกหูตายได้ยังไง พุทธะห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์นี่ หรือว่าพระพุทธองค์ไม่ห้ามท่านเลย... !!!
พระโพธิสัตว์กวนอิม : เพราะห้ามไม่อยู่ต่างหาก
พระถังซัมจั๋ง : หรือว่าไม่มีหงอคงปลอม
พระโพธิสัตว์กวนอิม : ไม่มีหงอคงปลอม มีเพียงหงอคงจริง ยังไฟแห่งอวิชชา เมื่อไหร่ที่หงอคงเกิดอวิชชา ก็จะขาดสติควบคุมมันไว้จนทำให้ตามใจตัวเองจนหลอมเป็นใจอวิชชา จนกระทั่งกลายมาเป็นหงอคงตัวปลอมขึ้น
หงอคง : อาจารย์ข้าเข้าใจแล้ว วันนั้นข้าเห็นท่านถูกแขวนบนต้นไม้ถูกตีจนเลือดเต็มตัว ไฟโทสะเลยพุ่งพล่านกระฉูดขึ้นมาปุด ๆ เลย อาจารย์นะ... อาจารย์... ฮือ ๆ ๆ อาจารย์...
พระถังซัมจั๋ง : มันผ่านไปแล้ว
หงอคง : ฮือ ๆ ๆ
พระโพธิสัตว์กวนอิม : เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว ข้าไปละ
พระถังซัมจั๋ง : หงอคงมา ๆ ๆ ๆ น้อมส่งพระโพธิสัตว์
~~~~~~~~~~~~~~~~
ฉากที่ 4 ของจริงย่อมไม่ปลอม ของปลอมย่อมไม่จริง
พระถังซัมจั๋ง : หงอคงทำไมคนบนโลกถึงแยกแยะจริง-ปลอมได้ยาก?
หงอคง : โพธิสัตว์ว่าเพราะยังไม่เข้าถึงความว่างไง
พระถังซัมจั๋ง : ตราบใดที่ไหลตามอายตนะก็ยากจะหาใจเดิมแท้คืนได้
หงอคง : ตราบใดที่มีชีวิตอยู่จะไม่ถูกอายตนะรบกวนคงยากอ่ะนะ
พระถังซัมจั๋ง : ที่จริงในโลกนี้มีหลายคนที่เห็นใจปลอมเป็นใจจริง พวกเค้าไม่ยอมเชื่อคำดี ๆ ที่คนพูดยามปกติ แต่กลับไปเชื่อคำพูดประชดในเวลาที่โมโห บอกว่านั่นมาจากใจจริง มันน่าขำมั๊ยล่ะ
หงอคง : ข้าขำเลยแล้วกัน ฮิ ฮิ ฮิ
ซัวเจ๋ง : อันนี้ข้าเข้าใจนะ เพราะคำพูดตอนนั้นมันเป็นคำพูดที่เกิดขึ้นจากโทสะ จะถือเป็นจริงได้ไง
พระถังซัมจั๋ง : แต่หลายคนกลับเห็นว่าจริง พุทธองค์ถึงตรัสว่า เราทุกคนนั้นต่างมีจิตอันวิเศษอยู่ แต่ถูกบังด้วยอวิชชา
หงอคง : อาจารย์ข้าก็เป็นแค่ลิงทโมน ยามรู้ตื่นมีน้อย หลงไปซะมากกว่าอาจารย์
พระถังซัมจั๋ง : อาจารย์ก็เป็นคนมีกายเนื้อ บางครั้งก็หลงไปบ้าง ไม่งั้นคงเป็นพระโพธิสัตว์ไปแล้ว
หงอคง : ก็นั่นนะดิ
พระถังซัมจั๋ง : แต่ว่าหงอคง อาจารย์ก็ยังต้องชื่นชมเจ้า คนทั่วไปเมื่อเผชิญหน้ากับจิตเดิมกับใจอวิชชา ใจเดิมมักจะแพ้ให้ความหลง เจ้ากลับกำราบใจปลอม รักษาใจเดิมอันบริสุทธิ์ ถึงเจ้าจะเป็นลิงป่า แต่ก็ดีกว่าคนบนโลกอีกมาก
ซัวเจ๋ง : อาจารย์ศิษย์พี่ใหญ่เขินจนหน้าแดงเหมือนตูดลิงแล้ว
หงอคง : ตอนนี้ศิษย์เข้าใจแล้วว่าในโลกใบนี้มีจริงและปลอมปะปนกัน มีของเก๊และของจริง จริง-ปลอมแยกได้ยาก
พระถังซัมจั๋ง : แต่ว่าสิ่งปลอมย่อมไม่จริง... ของจริงย่อมไม่ปลอม... นี่จึงเป็นสัจธรรมของโลก
หมายเหตุ : ถอดความจากวีดีโอไซอิ๋ว ตอน ตัวจริง-ตัวปลอม เพื่อการศึกษาธรรมะเท่านั้น
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ถอดเนื้อหาจากวีดีโอไซอิ๋ว ตอน คัมภีร์ไร้ตัวอักษร (เรือไม่มีท้อง ไร้เริ่มต้น ไร้สิ้นสุด)
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ฉากที่ 1 ลงเรือเพื่อไปรับพระไตรปิฎก
หงอคง : รับคนด้วย
คนเรือ : ทุกท่าน... เชิญลงเรือ
พระถังซัมจั๋ง : เจ้าดูเรือนั่น ไม่มีพื้นเรือ แล้วจะลงเรือได้ยังไง
คนเรือ : เรือลำนี้มีชื่อเสียงเรียงนามมาช้านาน โชคดีมีข้าเป็นคนแจวไม่เปลี่ยนแปลง มีลม มีคลื่น ยังคงแน่นิ่ง ไร้เริ่มต้น ไร้สิ้นสุด สงบสุข สันติ ไม่แปดเปื้อนฝุ่นผงธุลี ไปมาไร้เคราะห์ภัยผจญ เรือไร้พื้นท้องยากข้ามผ่านทะเล ตั้งแต่โบราณกาลจวบจนวันนี้พุทธธรรมคอยส่งผู้มีบุญวาสนา
หงอคง : อาจารย์ รีบลงเรือดีกว่าน่า นะ! อาจารย์อย่าไปเห็นว่าเรือไม่มีท้องเรือสิ มันนิ่งมากเลยเห็นมั้ย? ต่อให้มีคลื่นลม มันก็จะไม่พลิกคว่ำ อาจารย์... ลงเรือเถอะน่า
พระถังซัมจั๋ง : แต่ว่าอาจารย์จะลงได้ยังไงกันน่ะ?
หงอคง : โธ่ อาจารย์ ไม่ต้องกลัวอะไรหรอก แม่น้ำนี้มันก็ไม่ได้ไหลเชี่ยวนี่นา แค่นี้กลัวแล้วเหรออาจารย์ ฮะ ไม่ต้องกลัว ๆ น่า นะ ๆ อา... อาจารย์ไม่ต้องกลัว โธ่ ไปซี่! (หงอคงผลักอาจารย์ลงเรือ) ขอโทษที่ผลักนะอาจารย์
พระถังซัมจั๋ง : โอ๊ะ ๆ ๆ
~~~~~~~~~~~~~~~
ฉากที่ 2 เดินทางถึงเขาหลิงซันเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ (พระยูไล)
หงอคง : ถึงเขาหลิงซันแล้ว อาจารย์ ท่านดูตรงนั้นไง
ตือโป๊ยก่าย : โอ๊ะ! อาจารย์ ๆ คนล่ะ? เรือก็หายไปด้วยอ่ะ
หงอคง : อาจารย์... เมื่อกี้เป็นผู้นำทางมาพบพระพุทธองค์เขาก็คือ พระนะโม นามว่า "เป่าจงกวน" เขานั่นหละ
พระพุทธองค์ : เพราะดินแดนอุดมสมบูรณ์ผู้คนแน่นหนา โลภมากกับชีวิตมาก หมกมุ่นในกาเม เห็นแก่ตัว มุ่งหาผลประโยชน์ ฉ้อโกงหลอกลวง ไม่เคารพพุทธศาสนา ไม่มุ่งเน้นบุญกุศล ไม่ซื่อสัตย์ ไม่กตัญญู ไม่มีเมตตาจรรยา ปกปิดมโนธรรม
แก่งแย่งชิงดี ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก่อเวรสร้างกรรม ทำให้มีภัยแห่งนรก หรือ อาจต้องตกสู่อเวจีตลอดกาล ไม่ได้ผุดได้เกิด เวลานี้ข้ามีเคล็ดคัมภีร์สามกัณฑ์สามารถช่วยสลัดพ้นความทุกข์ ช่วยให้พวกเจ้าสามารถพ้นทุกข์ได้
สามกัณฑ์นั้น กัณฑ์ที่หนึ่งกล่าวถึงสวรรค์ กัณฑ์ที่สองกล่าวถึงมนุษย์ กัณฑ์ที่สามกล่าวถึงนรกภูมิ รวมเป็น สามสิบห้าส่วน มีหนึ่งหมื่นห้าพันหนึ่งร้อยสี่สิบสี่ม้วน เป็นคัมภีร์ฝึกตน เป็นประตูแห่งความดี
พระอานนท์ เจียเยี่ย พวกเจ้าพาพวกเขาทั้งสี่ไปชั้นล่าง เปิดหอเก็บออกนำพระไตรปิฎกสามกัณฑ์ที่มีสามสิบห้าส่วน แต่ละส่วนเลือกหลาย ๆ ม้วนให้กับเขากลับไปเผยแผ่เพื่อสำนึกบุญคุณ
พระอานนท์ กับ เจียเยี่ย : น้อมรับพระบัญชาพระพุทธองค์
พระถังซัมจั๋ง : ขอบพระคุณพระพุทธองค์
พระอานนท์ กับ เจียเยี่ย : ท่านไต้ซือจากดินแดนตะวันออกมีเรื่องทางโลกที่จะต้องปล่อยวางไหม เราจะได้มอบพระไตรปิฎกให้นำกลับไป
พระถังซัมจั๋ง : ศิษย์เสวียนจั้ง เดินทางมาไกลไม่ทันได้เตรียม
พระอานนท์ กับ เจียเยี่ย : เรื่องทางโลกทำไมต้องเตรียม นำเรื่องทางโลกปล่อยวางลงก็ใช้ได้แล้ว
ตือโป๊ยก่าย : เอ่อ ๆ ข้าว่าใคร ๆ ก็ต้องการเรื่องทางโลกทั้งนั้นแหละ มาถึงดินแดนตะวันตกทำไมถึงยังจะเอาอีก ที่แท้มีเหตุผลอะไรกันแน่เหรอ
ซัวเจ๋ง : ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ต้องใช้เรื่องทางโลกอะไรอีกล่ะ
ตือโป๊ยก่าย : นั่นน่ะสิ
หงอคง : เฮ้ย อาจารย์เอาแบบนี้มั้ย ต้องการเรื่องทางโลกเราไม่มี ให้มอบพระไตรปิฎกให้เราด้วยตัวเองก็ได้นี่นา จริงมั้ย?
พระอานนท์ กับ เจียเยี่ย : เอะอะอะไร นี่สถานที่อะไร ยังมาทำใหญ่โตเล่นแง่อีก! มารับพระไตรปิฎกทางนี้!
ตือโป๊ยก่าย : เฮอะ เฮอะ ๆ ๆ เฮ่อ ๆ หากไม่ใช่พี่ลิงบอกว่าจะหาพระพุทธองค์ สองคนนั่นคงไม่ยอมมอบให้กับเราแน่ ๆ เลย
พระถังซัมจั๋ง : โป๊ยก่าย! (ห้ามปรามตือโป๊ยก่าย)
~~~~~~~~~~~~~~~
ฉากที่ 3 ช่วยกันตรวจสอบพระไตรปิฎก
พระถังซัมจั๋ง : พบเจอพระพุทธองค์แล้ว ใจจดจ่อเพียงพระไตรปิฎก กลับลืมเรื่องที่ได้รับปากกับเต่าไว้ สมควรเผชิญเคราะห์กรรมครั้งนี้
หงอคง : อาจารย์ ไม่ต้องกังวลน่า คิดว่าเคราะห์กรรมของท่านยังไม่ครบ เวลาเนี้ยพวกเราผ่านเคราะห์กรรมได้แล้ว ต่อไปก็หมดเรื่องแล้วล่ะอาจารย์
พระถังซัมจั๋ง : ใช่
ตือโป๊ยก่าย : โอ๊ย ทำไงดีล่ะ โอ๊ย (เปิดดูพระไตรปิฎก แต่พบหน้ากระดาษว่างเปล่า)
ซัวเจ๋ง : ดูซิ จริง ๆ เลย
หงอคง : หา... ฮึ่ย อะไรเนี่ย
พระถังซัมจั๋ง : โป๊ยก่าย ช้าหน่อย
ซัวเจ๋ง : อาจารย์... ไม่มีอักษรเลย!
พระถังซัมจั๋ง : ลองดูอีกซิ
หงอคง : เฮ้ย จริง ไม่มีตัวอักษรเลยอาจารย์
ซัวเจ๋ง : โธ่เอ๊ย แย่แล้ว
หงอคง : ห๊ะ! ไม่มี ๆ
ตือโป๊ยก่าย : อย่างนี้ก็หลอกเราเล่นนี่นา โธ่เอ๊ย พระไตรปิฎกทำไมถึงว่างเปล่าล่ะครับอาจารย์ โอย หลอกเราเล่นเหรอเนี่ย ไม่นะ ไม่มีอะไรในนี้เลยอ่ะ
พระถังซัมจั๋ง : สวรรค์... ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
ตือโป๊ยก่าย : ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ อ่า
พระถังซัมจั๋ง : ชาวดินแดนตะวันออก ข้าช่างไร้บุญจริง ๆ พระไตรปิฎกไร้ตัวอักษรนี้จะมีประโยชน์อะไร จะมีหน้าเฝ้าฮ่องเต้ได้ยังไง ผิดฐานหมิ่นเบื้องสูงโทษสมควรตายเป็นหมื่นครั้ง
หงอคง : อาจารย์... อย่าเสียใจไปเลยนะ เรื่องเนี้ยยังต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังแน่นอน ต้องเป็นฝีมือของอานนท์ กับ เจียเยี่ย แน่นอนเลย งานนี้ต้องกลับไปร้องเรียนต่อพุทธองค์ต่อหน้าเลยนะอาจารย์ ยอมไม่ได้แล้ว
~~~~~~~~~~~~~~~
ฉากที่ 4 ร้องเรียนพระพุทธองค์เรื่องพระไตรปิฎกไร้ตัวอักษร
หงอคง : พระพุทธองค์ เดิมข้าคิดว่าที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่แท้ก็เป็นที่ซ่อนความสกปรกโสมมเหมือนกัน
พระพุทธองค์ : เจ้าบอกว่าซ่อนความสกปรกโสมมอะไร?
หงอคง : เราศิษย์อาจารย์ต้องทนทุกข์สารพัดจากตะวันออกมาจนถึงที่นี่ ได้รับบัญชาจากองค์ฮ่องเต้ให้มา เฮอะ... ไม่คิดเลยว่าจะถูกอานนท์ กับ เจียเยี่ยรวมหัวกันโกง เฮอะ... ให้พระไตรปิฎกปลอมมา แล้วเอากลับไปจะมีประโยชน์อะไรกันเล่า? ขอพระพุทธองค์วินิจฉัยให้เราด้วยนะ ในเรื่องเนี้ยอ่ะ
พระพุทธองค์ : อย่าเพิ่งโวยวาย เรื่องที่พวกเขาให้พวกเจ้าปล่อยวางข้ารู้เรื่องแล้ว เรื่องทางโลก คือ ทางโลก เป็นเรื่องระหว่างคนถ้าหากพวกเจ้าไม่ยอมปล่อยวางเรื่องของทางโลกแล้วจะมีพระไตรปิฎกจริงได้ยังไง?
ถ้าพวกเจ้าไม่ปล่อยวางแล้วนำมันขึ้นได้ยังไง ไม่สละทิ้งแล้วไซร้ พวกเจ้าจะต้องแบกเรื่องทางโลกไว้ แล้วจะแบกพระไตรปิฎกจริงได้ยังไง?
หงอคง : ก็ตัวเราไม่มีของมีค่า สองมือว่างเปล่า จะมีเรื่องทางโลกให้ปล่อยวางได้ที่ไหนกัน
พระพุทธองค์ : เรื่องที่มีค่าของพวกเจ้า ก็คือเรื่องทางโลกนั่นแหละ
หงอคง : เฮอะ ๆ ๆ พระพุทธองค์ หรือว่าแม้แต่กระบองของข้าซุนหงอคงก็จะเอาด้วยอย่างงั้นเหรอ? เฮอะ!
พระถังซัมจั๋ง : หงอคง! (ห้ามปรามหงอคง)
ศิษย์เข้าใจแล้ว (กล่าวกับพระพุทธองค์)
พระพุทธองค์ : ในเมื่อเสวียนจั้งเข้าใจแล้ว อานนท์... เจียเยี่ย... นำพระไตรปิฎกแก่นแท้ที่มีตัวอักษรคัดเลือกบางม้วนให้ มาแจ้งจำนวนที่นี่
~~~~~~~~~~~~~~~
ฉากที่ 5 รับพระไตรปิฎกของจริง
พระถังซัมจั๋ง : บาตรใบนี้ฮ่องเต้ต้าถังทรงประทานให้... ให้ใช้บิณฑบาตระหว่างทาง วันนี้ขอประเคนเพื่อตัดขาดจากทางโลก
พระอานนท์ กับ เจียเยี่ย : เจริญพร ๆ รูปธรรม นามธรรม ล้วนเป็นสิ่งว่างเปล่า
หงอคง : เฮ่อ ๆ กระบองจ๋า เฮ้อ...
พระถังซัมจั๋ง : ศิษย์ขอน้อมรับ
ตือโป๊ยก่าย : เรื่องทางโลกเนี่ยนะ ข้าปล่อยวางไม่ลงหรอก
หงอคง : เห้อ ๆ ๆ ข้าว่านะ เจ้าคงจะไม่อิจฉาเรื่องทางโลกของข้าเนี่ยหรอกนะ
ซัวเจ๋ง : ไม่มีใครอิจฉาของข้าหรอก
พระอานนท์ กับ เจียเยี่ย : เป็นพวกเจ้าปล่อยวาง... ไม่ใช่ข้าอิจฉา
หงอคง ตือโป๊ยก่าย : เฮ่อๆ เฮ้อ เฮอะๆ
ซัวเจ๋ง หงอคง ตือโป๊ยก่าย : สาธุ
พระถังซัมจั๋ง : (พระถังซัมจั๋งรับพระไตรปิฎก) ศิษย์ทุกคนต้องดูแลให้ดีนะ อย่าได้เหมือนครั้งก่อน
หมายเหตุ : ถอดความจากวีดีโอไซอิ๋ว ตอนจบ คัมภีร์ไร้ตัวอักษร (เรือไม่มีท้อง ไร้เริ่มต้น ไร้สิ้นสุด) เพื่อการศึกษาธรรมะเท่านั้น
~~~~~~~~~~~~~~~
อ่านเพิ่มเติม เรื่อง ไซอิ๋วคือการกางพระไตรปิฎกออกมาแล้วเขียนใหม่ในมุมนิทาน
https://bit.ly/2CwX2jv
~~~~~~~~~~~~~~~