ปรารภเหตุจากโอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา เรื่อง “รู้ คือใจ ไหลไป คือสังขาร” วันที่ 8-9 พฤษภาคม 2563 (อ่านรายละเอียดตามลิงก์ข้างล่างนี้)
~~~~~~~~~~~~~~~
โยมส่งการบ้านองค์หลวงตา อ้างถึงโอวาทธรรมบางส่วนดังนี้
“...ขณะจิตใดที่ไม่หลงสังขาร คือ ไม่หลงยึดถือสังขาร ไม่หลงไปเป็นสังขาร ไม่หลงยึดว่าเราเป็นผู้รู้ หรือ ผู้รู้เป็นเรา ไม่ยึดว่าเราเป็นวิสังขาร
*** ก็เป็นใจที่เป็นวิสังขารธรรมโดยอัตโนมัติ จึงไม่มีใครใช้ความพยายามอย่างใด ๆ เพื่อให้ตัวเราเข้าถึงใจ...”
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม : กราบนมัสการองค์หลวงตาเจ้าค่ะ
เห็นภาพชัดขึ้นเลยเจ้าค่ะ ว่าสังขาร หรือ แม้แต่ตัวเราเป็นเพียง “ของจร” ของจริงมีอยู่แล้วโดยอัตโนมัติ
เลยไม่ต้องหาของจริง
รู้ว่าอะไรเป็นของจร แยกของจรกับของจริงเป็น ก็เป็นของจริงอัตโนมัติ ไม่ต้องไปหาหรือไปทำของจริง (ถ้าไปทำ “ของจริง” ก็เป็น “ของจร”)
อ่านแล้วรู้สึกเข้าใจแบบนี้เจ้าค่ะ
หลวงตา : เข้าใจถูกแล้ว
“ใจ” ซึ่งเป็นวิสังขารธรรม เขาเป็นธาตุรู้ เขารู้จักตัวเขาดีว่าเขาเป็นธรรมชาติที่ไม่มีอะไรปรากฎ ไม่เกิดดับ
ซึ่งความไม่มีอะไรปรากฏ ความไม่ปรุงแต่ง จึงเป็นธรรมชาติถาวร เรียกว่า "อมตะ" หรือ วิมุตติ
จึงไม่มีใครปรุงแต่งทำให้เกิด ทำให้เป็น หรือ ดับเขาได้ หรือ ไม่สามารถจะเอาขันธ์ห้า หรือ ความคิด ความรู้สึกว่าเป็นเรา ตัวเรา ของเรา ซึ่งเป็นสังขารปรุงแต่งไปเป็นเขาได้
ซึ่ง “สังขารธรรม” เป็นธรรมชาติที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วดับกลับคืนสู่ความไม่มีอะไร เป็นธรรมชาติเกิดดับจึงไม่ใช่ของถาวร เป็นของชั่วคราว จึงเรียกว่า “สมมติ”
ดังนั้น “ใจ” เท่านั้น จึงรู้จัก “ใจ”
จึงรู้ว่า...
อะไร “เป็นใจ” ที่เป็นวิสังขารธรรมซึ่งเป็นของจริง เป็นธรรมแท้ (สัจธรรม)
อะไร “ไม่ใช่ใจ” เพราะเป็นสิ่งมีกิริยาอาการปรุงแต่ง เกิดดับ เป็นของจรมาชั่วคราว เป็นสมมติ เป็นของปลอม ไม่ใช่ของจริง (สัจธรรม)
แล้วใจเขาก็รู้ว่า... อยู่กับใจที่เป็นของจริง... ของแท้... ธรรมแท้... สัจธรรม
ความพยายามเอาตัวเราไปเป็นใจ หรือ พยายามเอาตัวเราอยู่กับใจอย่างเป็นอมตะตลอดกาล เป็นความเข้าใจผิดมหันต์
แต่เพราะความโง่ ความไม่รู้ (อวิชชา) จึงหลงเอาสังขารไปไล่ดับสังขาร โดยหวังว่าถ้าดับสังขารในใจได้หมดจนเกลี้ยงเกลา เหลือแต่ความว่าง ซึ่งเป็นความว่างที่เกิดจากความปรุงแต่งสร้างขึ้นมา จึงเป็น “ของจร” ย่อมไม่เที่ยง ว่างบ้าง ไม่ว่างบ้าง
ขณะใดพยายามมีสติประคองรักษาไม่ให้มีอาการปรุงแต่งแทรกเข้ามา ก็มีความรู้สึกว่าง ซึ่งความจริงความรู้สึกเป็นเรา “ตัวเรามีสติ” กันไม่ให้มีความปรุงแต่งเกิดขึ้นในใจนั้นเป็น “อวิชชา” แล้วยังไม่รู้ตัว
เพราะระหว่างนั้น ไม่เห็นความปรุงแต่งแสดงอาการอย่างอื่น ๆ เกิดดับในใจ แต่ก็มีความปรุงแต่งเป็นเรา ตัวเรา ปรุงแต่ง "มีสติ" ปรุงแต่ง “ใจของเราว่าง” (ความว่างเกิดจากความปรุงแต่ง)
หากรู้ซะแล้วว่าทุกอย่างเป็น “ของจร” เขาจะดับ หรือจะไม่ดับ สุดท้าย... ของจรก็เป็นของจร ยังไงเขาก็มีหน้าที่ต้องดับไปเอง
ไม่ใช่หน้าที่จะพยายามเอาสังขารไปไล่ดับสังขาร เพราะแม้สังขารเก่าดับไป ก็เกิดสังขารใหม่เป็นผู้ไล่ดับเขาเรื่อยไป เป็นงูกินหาง...!!
***** ความสำคัญที่สุด ต้องรู้เห็นจากใจในปัจจุบันขณะ (รู้โดยธาตุรู้ ซึ่งเป็นวิสังขาร) ว่า ความคิด ความรู้สึกเป็นเรา ตัวเรา จิต ใจของเรา ในปัจจุบันขณะ เป็นสังขารปรุงแต่ง เป็นธรรมชาติเกิดเอง ดับเอง ไม่มีตัวตนคงที่ ไม่มีเลยที่เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวจิต ตัวใจของเรา ที่มีอยู่จริงอย่างเป็นอมตะ
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม : องค์หลวงตาหมายถึง “ความเห็นผิด” ที่คิดว่ามีตัวเราที่เที่ยงเป็นอมตะ คือ ต้องเห็นด้วยใจว่ามันไม่เที่ยงแท้ถาวรหรอก นี่คือ “การดับวิญญาณ” ที่องค์หลวงตาบอกใช่มั้ยเจ้าคะ?
ดับความเห็นผิดว่ามันมีจริง ๆ ให้เห็นความจริงว่า... มันไม่มีคงที่จริง ๆ เดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มี... ใช่มั้ยเจ้าคะ?
วันนี้มีคำถามในใจขึ้นมาเจ้าค่ะว่า...
วิญญาณตั้งอยู่ได้เพราะเหตุใด?
อะไรเป็นเหตุเป็นที่ตั้งของวิญญาณ?
หลวงตา : ความคิด ความรู้สึกเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นจิต ใจ ของเรา เกิดดับ เดี๋ยวมี เดี๋ยวไม่มี เมื่อคิด หรือ รู้สึกว่ามี ก็มีความคิดความรู้สึกนั้นขึ้นมา
แล้วเดี๋ยวก็ดับไป แล้วก็คิด หรือ รู้สึกว่ามีเรา ตัวเรา จิต ใจของเราขึ้นมาใหม่อยู่เรื่อย ๆ แต่ก็ดับไปเสียทุกครั้ง
ดังนั้น แม้สังขารปัจจุบันขณะ เขาจะปรุงแต่งคิด รู้สึกเป็นเรา ตัวเรา จิต ใจของเรา แต่ถ้า “ใจ” ซึ่งเป็น “ธาตุรู้” เขารู้แจ้งจากใจแล้วว่า อาการคิด หรือ รู้สึกอย่างนั้น เป็นเพียงสังขารปรุงแต่ง ซึ่งเป็นเพียงคลื่นพลังงานเป็น wave, vibration ที่เกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร เกิดเอง ดับเอง... เกิดเอง ดับเอง... เป็นของจร ไม่ใช่ธรรมแท้ คือ ความไม่มีอะไรปรากฏ
ไม่ได้เป็นตัวตนคงที่ เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวจิต ใจของเราจริง ก็จะ “หายโง่” สิ้นอวิชชา
ต่อจากนั้น แม้สังขารปรุงแต่งความคิดความรู้สึกอย่างนั้นจะเกิดดับกี่ครั้ง ก็ไม่มีความหมายต่อใจอีกต่อไป
"วิญญาณ" ตั้งอยู่ได้เพราะ “อวิชชา”
คำว่า “วิญญาณตั้งอยู่” ก็แสดงถึงยังมี “อวิชชา” คือ ไม่รู้ความจริงว่าวิญญาณเกิดขึ้น (มีแต่ความคิดปรุงแต่ง ซึ่งเป็นคลื่นพลังงานเกิดขึ้น) จึงยึดว่ามีวิญญาณ (ปรุงแต่งเป็นรูปวิญญาณขึ้นมา)
เปรียบเหมือนกับกลางวันไม่กลัวผี เพราะไม่ได้คิดปรุงแต่งสร้างผีเป็นตัวตนขึ้นมา พอตกกลางคืนกลัวผี เพราะคิดปรุงแต่งสร้างผีเป็นตัวตนขึ้นมา แล้วคิดปรุงแต่งมีเราเป็นตัวตนกลัวผี
แท้ที่จริง ตัวผีในขณะนั้น และ ตัวเราที่กลัวผีก็ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง เป็นแต่เพียงคลื่นพลังงาน เป็น wave, vibration ที่เกิดขึ้นมาจากความไม่มี แล้วดับกลับคืนไปสู่ความไม่มี
ดังนั้น การปรุงแต่งว่ามีวิญญาณ (ผีตัวเรา) กับการปรุงแต่งตัวผีอื่นจึงไม่ได้มีตัว มีรูปลักษณ์ที่ต้องการ มีที่อยู่ที่ตั้ง เหมือนกับว่าถ้าให้พาไปชี้ว่าผียืนอยู่ตรงไหนจึงกลัวผี จะสามารถชี้ที่ตั้งของผีได้หรือไม่?
ดังนั้น “ถ้าไม่มีอวิชชา ก็ไม่มีวิญญาณ”
แท้ที่จริงทั้ง อวิชชา วิญญาณ เรา ตัวเรา จิต ใจ หรือ วิญญาณของเราเป็นเพียงคลื่นพลังงานที่ปรุงขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วดับกลับคืนไปสู่ความไม่มีอะไร เป็นธรรมชาติที่เกิดเอง ดับเอง แต่เพราะไม่รู้ (อวิชชา) จึงหลงยึดความปรุงว่ามีอยู่จริง
จึงกล่าวได้ว่าความมีวิญญาณ (จิต ใจ) ตัวเรา ของเรา เกิดขึ้นพร้อมอวิชชา
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในปฏิจจสมุปบาทว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงทำให้เกิดสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงทำให้เกิดวิญญาณ .........
เพราะอวิชชาดับ (ไม่มี) สังขารจึงดับ (ไม่มี) เพราะสังขารดับ (ไม่มี) วิญญาณจึงดับ (ไม่มี) เพราะวิญญาณดับ ............
สังขารอย่างอื่นต่อจากนั้นในปฏิจจสมุปบาทก็ดับหมด
หรือ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด
เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ
ขันธ์ห้ามันเป็นสิ่งปรุงแต่งมาจากอวิชชา (ดูในปฏิจจสมุปบาท) มันเป็นวิบากกรรมเก่าที่เกิดมาจากความไม่รู้ (อวิชชา)
ขันธ์มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ซึ่งเวทนา เช่น อาการแน่น อึดอัด ทึบ ตื้อ ร้อนผ่าว... มันเป็นทุกขสัจ ต้องรับผลกรรมที่เกิดมามีขันธ์ห้า จะให้มันไม่ทุกข์ไม่ได้ เดี๋ยวมันก็มีอาการเป็นทุกข์ เป็นสุข เป็นกลาง จะห้ามมันไม่ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
แม้พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์
ก็ต้องรับทุกขเวทนานี้เหมือนกับปุถุชน เวลาธาตุขันธ์จะแตกดับก็ทุกข์ทรมานเหมือนกัน เพียงแต่พระพุทธเจ้า และท่านเหล่านั้น ท่านรู้แจ้งแล้วว่าอะไรเป็นสังขาร อะไรเป็นใจที่ไม่สังขาร (วิสังขาร)
ใจของท่านจึงอยู่กับ “ใจ” ไม่หลง (อวิชชา) เอาใจไปอยู่กับสังขารเวทนา ท่านจึงมีแต่ความทุกข์ทางกาย
แต่ไม่มีความทุกข์ทางใจ
ส่วนปุถุชนจะหลงปรุงแต่งสร้างตัวตน เป็นเรา ตัวเรา ของเรา จึงหลงยึดขันธ์ห้า ยึดสุขเวทนา
เช่น ความรู้สึกว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบาย
แล้วรังเกียจทุกขเวทนา เช่น ความรู้สึกหนัก แน่น อึดอัด ทึบ ร้อนผ่าว เป็นต้น จึงทุกข์ทั้งกาย และทุกข์ใจด้วย
พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ จึงนิพพานสองครั้ง คือ
ครั้งแรก - นิพพานในขณะยังมีชีวิตอยู่ (สอุปาทิเสสนิพพาน) เพราะ “พบใจ พบธรรม ถึงใจ ถึงนิพพาน” คือ ใจอยู่กับใจ (วิสังขาร) ไม่อยู่กับสังขาร หรือ ขันธ์ห้า แต่เนื่องจากขันธ์ห้ายังไม่ดับ ใจจึงอยู่กับใจและอยู่ร่วมกับขันธ์ห้า ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ครั้งที่สอง - ใจนิพพานแล้ว และขันธ์ห้าแตกดับ (ตาย) ด้วย (อนุปาทิเสสนิพพาน) เหลือแต่ใจ (วิสังขาร) ที่ไม่ปรากฏอะไร จึงสิ้นทุกข์ทั้งทางกายและทางใจ
ถ้าไม่มีอวิชชา คือ หลงยึดว่ามีตัวเรา จิต ใจ หรือ วิญญาณของเรามีตัวตน มีรูปลักษณ์อยู่จริง หรือ สิ้นอวิชชา ก็จะมีแต่ความแน่น อึดอัด ร้อนผ่าวเฉพาะร่างกาย แต่ไม่แน่น อึดอัดที่ใจ
ซึ่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ก็ต้องรับทุกข์ทางกายอย่างนี้เหมือนกัน เราจะหลีกเลี่ยงได้หรือ?
โยม : ไม่ได้เจ้าค่ะองค์หลวงตา
หลวงตา : “ยถาภูตญาณทัสสนะ” ยอมรับตามความเป็นจริงซึ่งมีผลมาจากกรรมเก่า (วิบาก) นี้ด้วยใจ นี่แหละเป็นประตูก้าวข้ามโลกไปสู่นิพพาน
ซึ่งผู้บรรลุนิพพาน (ถึงใจบริสุทธิ์) ก็ต้องผ่านประตูนี้ทุกท่าน ไม่มียกเว้น...
เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากสนทนากับคณะศิษย์
วันที่ 11 พฤษภาคม 2563
~~~~~~~~~~~~~~~
แนะนำสื่อธรรมที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเพื่อความถึงใจ :
ไฟล์เสียงแนะนำ “ธรรมภาคปฏิบัติอันละเอียดลึกซึ้ง (2)
https://www.facebook.com/1673177422937156/posts/2571564273098462/
ประชาสัมพันธ์สื่อธรรม : ไฟล์เสียง วีดีโอ และโอวาทธรรม เรื่อง “ธรรมภาคปฏิบัติอันละเอียดลึกซึ้ง”
http://www.luangtanarongsak.org/home/index.php/2017-10-14-13-20-39/2020-02-06-08-06-17/item/5335-05-may11-63-dama-info-23
ประชาสัมพันธ์สื่อธรรม : ไฟล์เสียงสนทนาธรรม “คุณหมอศรีวิไล บุลสุข (อายุ 91 ปี)”
http://www.luangtanarongsak.org/home/index.php/2017-10-14-13-20-39/2020-02-06-08-06-17/item/5291-05-may03-63-dama-info-22
หนังสือสัจธรรม
http://www.luangtanarongsak.org/home/index.php/2017-10-14-13-19-49/2017-11-12-10-51-16/item/5390-2020-05-21-14-42-14
หนังสือที่สุดแห่งธรรม ๑
http://www.luangtanarongsak.org/home/index.php/2017-10-14-13-19-49/2017-11-12-10-51-16/item/5270-2020-04-29-09-24-24
วีดีโอยูทูป : วงจรปฏิจจสมุปบาท
https://youtu.be/MPc1boq0O9M
วีดีโอยูทูป : สังขารกรรม วิญญาณกรรม
https://youtu.be/0IVbpf6oXZA
~~~~~~~~~~~~~~~