วิญญาณขันธ์ และ วิญญาณธาตุ
*****"วิญญาณขันธ์" (วิญญาณในขันธ์ห้า) เป็นการรู้ทางประตู รู้ตามทวาร จะเกิดมารับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นขณะ ๆ แล้วก็ดับไป
***** ส่วน "วิญญาณธาตุ" หรือ "ธาตุรู้" หรือ "ใจ" หรือ เรียกว่า จิต จิตเดิมแท้ ใจเดิมแท้ ธาตุรู้แท้ ๆ มันไม่ได้เกี่ยวกับการที่มารับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ วิญญาณธาตุ มันเป็นเรื่องของใจ
"วิญญาณขันธ์" ทำหน้าที่รับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และทางใจ หกประตู แต่ "วิญญาณธาตุ" เนี่ย ยึดกับไม่ยึดแค่นั้นเอง ถ้า "รู้แล้วไม่ยึด" ก็เรียกว่า "ไม่มีอวิชชาในรู้" เป็นธาตุรู้ที่ไม่มีอวิชชา
ถ้า "รู้แล้วยึด" ก็เป็น "อวิชชาบวกกับธาตุรู้"
ไม่เกี่ยวกับการรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
มันอยู่ที่ "อวิชชาที่ใจ" ที่ธาตุรู้เลยว่า
- "มีอวิชชาที่ธาตุรู้" มันก็ยึด
- "ไม่มีอวิชชาที่ธาตุรู้" มันก็ไม่ยึด กลายเป็นธาตุรู้ ที่ไม่มีอะไรปรากฏเลย
ธาตุรู้ หรือ จิตดั้งเดิมแท้ ๆ หรือใจดั้งเดิมแท้ ๆ จะไม่ปรากฏอะไรเลย แต่ถ้ามีอวิชชาปรากฏที่ธาตุรู้ มันจะยึด แล้วก็มี จิต หรือใจ หรือมี "วิญญาณ"
แล้วก็มี "ตัวเรา" เกิดขึ้นมาพร้อมกัน ยึดเป็นเรา มีจิตเรา มีตัวเรา มีตัวตนของเรา แล้วก็เข้าไปยึดขันธ์ห้า และสิ่งภายนอกว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
โยม : แล้วที่ยึดธาตุรู้นี่ มันเอาอะไรไปยึดกันได้ครับ
หลวงตา : ยึดธาตุรู้... เป็นอวิชชาที่มันเริ่มต้นเกิดขึ้นมามันก็ "ยึดตัวมันเอง"
มันไม่มีตัวหรอก แต่มันยึดมันปรุงแต่งสร้างขึ้นมาจากไม่มีอะไรเลย... สร้างจิต หรือ วิญญาณ ขึ้นมา
"เป็นจิต... เป็นเรา... เป็นตัวเรา... เป็นจิตของเรา... "
ไม่ได้หมายถึงว่ามีรูปร่างเป็นตัวเราอย่างในภพชาตินี้นะ มันมีจิตขึ้นมา "จิต หรือ วิญญาณ" แล้วแต่ว่ามันจะสร้างเป็น "รูป" อะไร
จากไม่มีแล้วมันสร้างจิตขึ้นมาก่อน "สร้างจิตขึ้นมาในจิต" เช่นว่า สร้างว่าดวงว่าง... ดวงสว่าง... พอมีจิตที่เป็นดวงว่าง หรือดวงสว่าง ปุ๊บ! พอมีแค่นั้นแหน่ะ คือกู... จิตเนี่ยคือกูเลย ไม่ใช่ว่ากูอีกตัว แล้วมายึดจิต... ไม่ใช่! พอมีจิตก็มีกู ไม่มีจิต ก็ไม่มีกู ไม่มีอวิชชา
มีจิต... มีอวิชชา... มีกู มันสร้างมาพร้อมกัน
ดังนั้นมันจึงต้องมาเห็นตรงนี้!!!
ความจริงแท้ หรือ สัจธรรมแท้นั้น เป็นความไม่มีอะไรปรากฏ ดังนั้นถ้ามันมีความรู้สึก มีจิต มีกู มีตัวเรา มีของเราที่อยู่ในจิต มันก็คือ "สังขาร"
มันเป็น "อวิชชา ปัจจยาสังขารา สังขาราปัจจยาวิญญาณัง...........ฯลฯ"
ความไม่รู้ (อวิชชา) ก็สร้างสังขารปรุงแต่ง แล้วก็สร้าง "วิญญาณ" ขึ้นมาในปฏิจจสมุปบาท คือ อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง.........ฯลฯ ยาวไปจนถึง นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ ทุกข์ โศกเศร้าเสียใจ คับแค้นใจ
นี่คือสร้างในขณะปัจจุบัน พอตายแล้วก็ไปเวียนว่ายตายเกิด ก็คือมาจากอวิชชา สร้างขึ้นมาจากไม่มีอะไร
ตัวที่สร้างก็คือ ... สังขารปรุงแต่งสร้าง สร้างวิญญาณเป็น "กู" กูนี่แหละคือวิญญาณ วิญญาณนี้คือกู!!!
แต่วิญญาณตั้งแต่ภพแรก ๆ แล้วแต่มันจะสร้างเป็นอะไร สร้างให้มีขึ้นมาซะก่อน จากไม่มีให้มันมีขึ้นมา แล้วก็มีกูขึ้นมาพร้อม มันเลยเป็น "อวิชชา ปัจจยาสังขารา สังขาราปัจจยา วิญญาณัง....... มันมีขึ้นมาในขณะจิตเดียว
แต่ในปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าท่านมาไล่เหตุให้เฉย ๆ แต่เวลาเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นในขณะจิตเดียว จนถึงโน่นเลย 12 ตัว... ในปฏิจจสมุปบาท ก็คือ "ภพชาติ" เลย สร้างในจิตเป็นตัวมาเลย
กายเป็นมนุษย์แต่ข้างใน พอมี อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขาราปัจจยา วิญญาณัง...... ตอนนี้สร้างกายเป็น"รูป" (กายโปร่งแสง)
▪︎ใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน สร้างตัวสัตว์เดรัจฉานซ้อนในกายมนุษย์
▪︎ตัวเป็นมนุษย์ ใจเป็นเปรตอสุรกาย ก็สร้างเป็นเปรตอสุรกายในร่างกายมนุษย์
▪︎ตัวเป็นมนุษย์ ใจเป็นสัตว์นรก ก็สร้างสัตว์นรกขึ้นมาในใจในขณะจิตนั้น
▪︎ตัวเป็นมนุษย์ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่สร้างเป็นเทพเทวดานางฟ้า แล้วแต่ว่าจะสร้าง...
มันเกิดดับในขณะจิต ดังนั้นปฏิจจสมุปบาท 12 ตัวเนี่ยขณะจิตเดียวนะ!ขณะจิตเดียว
แต่พระพุทธเจ้าท่านไล่มาว่ามันสร้างมายังไง แต่ขณะจิตเดียวมันสร้างภพภูมิเตรียมไว้แล้ว แล้วเวลาตายก็ไปสู่ภพภูมินั้นจริง ๆ คือ กลายเป็น "ปฏิจจสมุปบาทวงใหญ่"
กายเนื้อเราที่เป็นกายหยาบ ข้างใน... จิตมันสร้างภพภูมิ สร้างเป็นกายโปร่งแสงเตรียมไว้ในขณะจิต ดังนั้น "ความรู้สึกเป็นตัวเรา" ในขณะจิตภายใน เป็นตัวดี ตัวชั่ว ตัวบุญ ตัวบาป ตัวกุศล ตัวอกุศล ตัวเราที่เป็นตัวเที่ยงแท้ถาวรน่ะ มันจึงไม่มี!!! เพราะว่าตัวในเนี่ย มัน เกิด... ดับ ๆ ๆ ตามภพภูมิที่มันสร้างไว้ตลอดเวลาเลย
ส่วนร่างกายข้างนอกมันแลดูเสื่อมช้า เพราะว่าต้องรอมันแก่ไป ๆ เจ็บตายผุพังสลายไป อันนี้เราก็ยอมรับกันได้ว่า ร่างกายเนื้อมันแก่ผุพังแตกสลายไป แต่ตัวในเนี่ย... ที่เราไม่ค่อยเห็นมัน ก็คือว่า มันสร้างภพภูมิภายในจิต... เป็นขณะจิต ๆ ตามปฏิจจสมุปบาท
เมื่อมันสร้างภพภูมิ... เราจะเหนือกว่ามันได้ ต้องรู้จักปฏิจจสมุปบาททั้ง 12 ตัว
อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขาราปัจจยา วิญญาณัง........ฯลฯ
"อวิชชา" เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร...
"สังขาร" เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ...ที่เป็นภพภูมิสร้างตามภพภูมิต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นในขณะจิต
แล้วก็เพราะ "วิญญาณ" เป็นปัจจัยจึงสร้างนามรูป... ในขณะจิตนั้น
"นามรูป" เป็นปัจจัยจึงสร้างสฬายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
กลายเป็นกายโปร่งแสงที่อยู่ในภพภูมิต่าง ๆ ซ้อนกายเนื้อ มีรูปร่างหน้าตาพร้อมเสร็จเลย แต่มันอาจไม่ได้เป็นเหมือนตัวเรา เพราะไปเป็นกายโปร่งแสงที่เป็นเปรตบ้าง สัตว์นรกบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง เป็นเทพเทวดาบ้าง เป็นมนุษย์บ้าง แล้วแต่ว่ามันไปยึดอะไรในขณะจิตนั้น แล้วมันก็ เกิด... ตาย... เกิด... ตาย...
เพราะฉะนั้นในตัวเราที่เป็นกายหยาบ มันมีจิตที่สร้าง แต่จิตที่สร้างทั้ง 12 ตัวในปฏิจจสมุปบาท
ตั้งแต่... "อวิชชา" เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร
ตัวที่สอง... "สังขาร" เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ
ตัวที่สามแล้วก็ไล่ไป "วิญญาณ" เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป... สฬายตนะ... ผัสสะ... เวทนา... ตัณหา... อุปาทาน... ภพ... ชาติ... ชรามรณะ... ทุกข์โศกเศร้าเสียใจ คับแค้นใจ
ความทุกข์ทั้งมวลในปฏิจจสมุปบาท คือ สังขารหมดเลย เป็นสังขารเกิดดับ!!! เป็นสังขารปรุงแต่งจากความไม่มีอะไร !!!
ดังนั้น... เมื่อพบใจ ไม่มีตัวจิต ตัวใจ ไม่มีอะไร เลยเห็นว่า "ปฏิจจสมุปบาท" ที่มันหลงสร้างขึ้นมาในปัจจุบันขณะ มันก็เป็น "สังขาร" ไม่มีใครไปยึดมัน สังขารก็ เกิดเอง... ดับเอง... เกิดเอง... ดับเอง... อย่างเก้อ ๆ มันเลยไม่มีตัวตนที่ไปร่วมผสมกับมันจริง ๆ
"สังขารในปฏิจจสมุปบาท" ที่ยึดถือ พอถูก "รู้เท่าทัน" ทั้งหมดแล้วในใจ ที่หลงเป็นตัวตนของเราจริง ๆ สร้างขึ้นมาแต่ละขณะ... อวิชชามันก็ดับไป
พออวิชชาดับ “สังขาร” ที่สร้างวิญญาณเป็นตัวเป็นตนเป็นนามรูปในภพภูมิต่าง ๆ ก็เลยดับไปตั้งแต่ยังไม่ตาย
ตัวใน (กายโปร่งแสง) ที่เตรียมสร้างภพภูมิไว้ดับไปแล้ว เหลือแต่ขันธ์ห้าที่เป็นกายหยาบ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทำงานในชีวิตประจำวันตามปกติ ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่ต่อไป แต่ใจที่ยึดถือไม่มีแล้ว เพราะว่ามันสิ้นอวิชชา
พออวิชชาดับสังขารก็ดับ สังขารดับวิญญาณก็ดับ
"อะวิชชายะเตววะ อะเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรธา วิญญาณะนิโรโธ........." พออวิชชาดับ ดับหมดเลย เพราะวิราคะ คือ ใจมันคลาย "จากความมีตัวตนหลงยึดมั่นถือมั่น" อวิชชาก็เลยดับ
พอดับปุ๊บเลยเป็น "อะวิชชายะเตววะ อะเสสะวิราคะนิโรธา......"
"วิราคะ" คือ หมดยางเหนียวแล้ว ใจมันไม่มีตัวจิตตัวใจ มันเลยไม่มียางเหนียวที่จะไปเกาะอะไรติด อะไรเข้ามาก็เกาะไม่ติด เพราะมันไม่มีตัวตนที่ไปสร้างให้เป็นยางเหนียวไว้
สิ้นยางเหนียว มันไม่มีตัวตน ดังนั้นอะไรที่ผ่านเข้ามามันก็ผ่านไป... ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป... มันไม่มีตัวที่เป็นยางเหนียวไปแปะไปติด
"ตัวเรา" นี่แหน่ะมันเป็น "อวิชชา" มาจากอวิชชา... มันก็เลยไปแปะไปติดกันได้ทุกครั้งไป
ทีนี้เมื่อเห็นว่า... มันมีเพียงแต่ความไม่มีอะไรเลย
ที่มีอะไรเกิดขึ้นมา... มันก็เป็นสังขารทั้งนั้น
ใน “ปฏิจจสมุปบาท” ทั้งหมดก็เป็นสังขาร!!!
พอมันสิ้นสังขาร... สิ้นหลงสังขาร... สิ้นยึดถือสังขาร สิ้นหลงว่า "มีตัวเราจะไปยึดวิสังขาร" สังขารขันธ์ห้ามันก็คงมีอยู่ แต่สังขารใน “ปฏิจจสมุปบาท” ดับเกลี้ยงเลย ดับสนิทไปตั้งแต่ยังไม่ตาย เหลือแต่ขันธ์ห้า
ทีนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องปฏิจจสมุปบาทแล้ว อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร (ความโง่) มันดับไปแล้วไง
สังขารที่จะปรุงแต่งเป็นวิญญาณไปเกิดเป็นภพภูมิต่าง ๆ ก็ไม่มี... เพราะว่ามันไม่มีผู้เสวย... มันสิ้นผู้เสวย... พอสิ้นผู้เสวยเท่านั้นแหละ ภพภูมิไม่มีแล้ว ที่จะไปทุกข์ โศกเศร้า เสียใจ คับแค้นใจ ในปฏิจจสมุปบาท ก็หมดเกลี้ยงไม่เหลือแล้ว
เพราะว่า... อะวิชชายะเตววะ อะเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรธา วิญญาณนิโรโธ..."
พอใจหมดยางเหนียว ไม่มีตัวตน ที่ไปยึดปุ๊บ! อวิชชาก็ดับ... สังขารก็ดับ... วิญญาณก็ดับ พอวิญญาณดับ.... นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ ทุกข์ โศกเศร้า เสียใจ คับแค้นใจ ดับเกลี้ยง ตั้งแต่ยังไม่ตายเลย
เหลือแต่ "ขันธ์ห้า" ที่ทำงานไปตามหน้าที่ ตามเหตุตามปัจจัย แต่ตัวยึดข้างในน่ะไม่มีอีกแล้ว... สิ้นยึดแล้วเพราะว่า “สิ้นอวิชชา”
มันก็เลย สิ้นยึด สิ้นตัวตน... มันเลยสิ้นพร้อมกัน
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากสนทนากับคณะศิษย์
วันที่ 11 พฤษภาคม 2563
~~~~~~~~~~~~~~~
แนะนำสื่อธรรมที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเพื่อความถึงใจ :
ไฟล์เสียงแนะนำ “ธรรมภาคปฏิบัติอันละเอียดลึกซึ้ง (2)
https://www.facebook.com/1673177422937156/posts/2571564273098462/
ประชาสัมพันธ์สื่อธรรม : ไฟล์เสียง วีดีโอ และโอวาทธรรม เรื่อง “ธรรมภาคปฏิบัติอันละเอียดลึกซึ้ง”
http://www.luangtanarongsak.org/home/index.php/2017-10-14-13-20-39/2020-02-06-08-06-17/item/5335-05-may11-63-dama-info-23
ประชาสัมพันธ์สื่อธรรม : ไฟล์เสียงสนทนาธรรม “คุณหมอศรีวิไล บุลสุข (อายุ 91 ปี)”
http://www.luangtanarongsak.org/home/index.php/2017-10-14-13-20-39/2020-02-06-08-06-17/item/5291-05-may03-63-dama-info-22
หนังสือสัจธรรม
http://www.luangtanarongsak.org/home/index.php/2017-10-14-13-19-49/2017-11-12-10-51-16/item/5390-2020-05-21-14-42-14
หนังสือที่สุดแห่งธรรม ๑
http://www.luangtanarongsak.org/home/index.php/2017-10-14-13-19-49/2017-11-12-10-51-16/item/5270-2020-04-29-09-24-24
วีดีโอยูทูป : วงจรปฏิจจสมุปบาท
https://youtu.be/MPc1boq0O9M
วีดีโอยูทูป : สังขารกรรม วิญญาณกรรม
https://youtu.be/0IVbpf6oXZA
~~~~~~~~~~~~~~~