โยม 1 : กราบนมัสการและกราบขอโอกาสเจ้าค่ะ สองสามวันนี้ได้ฟังไฟล์ "อยู่กับโลกด้วยใจที่เป็นธรรม 1 และ 2" ทบทวนไปมาหลายรอบ และ ทบทวนถึงข้อผิดพลาดของตนเองเจ้าค่ะ
ได้เห็นตัวตนของผู้ที่พยายามจะเข้าใจ ผู้ปรารถนา ผู้รอคอย ตัวเราที่โผล่มายามขาดสติไม่พิจารณารู้เห็นตามความเป็นจริง
เมื่อหลงสังขารจนเป็นทุกข์ก็หลงปรุงแต่งเอาเราไปช่วยเหลือตัวเอง หลงปรุงแต่งให้ค่าให้ความหมาย ยึดถือความปรุงแต่งที่เป็นธรรม ผลักไสความปรุงแต่งที่ไม่เป็นธรรม มีตัวเราผู้เป็น มีตัวเราผู้ได้ หรือ ไม่ได้ มีตัวเรา ผู้ทุกข์ มีตัวเราในทุกสิ่งเกิดดับเจ้าค่ะ
เห็นตัวเราที่หลงวนเวียนอยู่กับความพยายาม เห็นตัวเราที่เบื่อความหลงวนเวียนนั้น ตัวเราที่พยายามจะ เลิกวนเวียน และ ตัวเราในรูปแบบอื่นอีกมากมายที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้ง ๆ ที่หลวงตาก็สอนย้ำแล้วย้ำอีกว่า "ตัวเราไม่มี" มีแต่สิ่งเกิดดับ เป็นคลื่นพลังงานเกิดดับอยู่ในความไม่มีอะไร ไม่ใช่เป็นเรา ตัวเรา ของเรา แต่ด้วยอวิชชาความเข้าใจผิด ความไม่รู้ จึงไปยึดเอามาเป็นเรา เป็นตัว เป็นตน
แต่ก็ยังโง่ หลงพยายามจะจับจะทำลายตัวเราด้วยวิธีการที่แนบเนียนต่าง ๆ ให้ได้เจ้าค่ะ แล้วก็วนเวียน หลงสังขารอยู่นั่นเจ้าค่ะ
อาจจะเป็นอย่างที่หลวงตาบอกว่าแต่ละคนก็ตั้งเปัาหมายกันต่างกันไป เป้าหมายใครเป้าหมายมัน โดยหลงไปว่าทั้งเป้าหมาย และ การดำเนินการตามเป้าหมาย มันก็ "มีตัวเราแอบแฝง" อยู่ตลอดรายการตั้งแต่ต้นจนจบ
หากจะบอกว่าเพราะไม่ลงแก่ใจว่า "ตัวเราไม่มี จิตไม่มี อวิชชาไม่มี" มันก็ไปพยายามทำให้ลงแก่ใจ โดยมีตัวเรา เป็นผู้พยายาม มีตัวเราเป็นผู้... ไปตลอดทางจนรอรับผลเลยเจ้าค่ะ หรือ หากจะบอกว่ามีอวิชชาตัวใดที่ซ่อนอยู่ ก็จะมีตัวเราที่มุ่งจะกำจัดอวิชชา วนไปอีกเจ้าค่ะ
เมื่อมาวิเคราะห์ดูแม้แต่การพิจารณาใด ๆ ก็ไม่พ้นตัวเราทั้งนั้นเลยเจ้าค่ะ จนเหมือนกับจะสรุปว่าปล่อยให้ มันเป็นไปเอง แต่ก็มีตัวเราที่บอกว่านี่มันจะเป็นการปล่อยไปตามยถากรรม
แทนที่จะเห็นว่าตัวเราไม่มี กลับเห็นแต่มีตัวเราที่ซ่อน และ บงการอยู่ตลอดนะเจ้าคะ จากที่กราบเรียนหลวงตามาพบว่า... เป็นการหลงวนเวียน หลงสังขารไม่เลิกเลยเจ้าค่ะ
ก็น่าที่จะทำให้หลวงตาไม่เข้าใจว่าสอนแล้วสอนอีก ทำไมลูกศิษย์ถึงยังเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ
สำหรับตัวหนูเองก็สรุปได้แค่คงเป็นเพราะความโง่จริง ๆ เจ้าค่ะ นอกจากความโง่แล้วก็บวกกับความอยากอีกเจ้าค่ะ อยากไปทุกอย่างเลย รวมทั้งความอยากที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พ่อแม่ครูอาจารย์มีกำลังใจในการสอนเจ้าค่ะ
กราบขอขมาหลวงตาหากการบ้านนี้ทำให้หลวงตาเวียนหัวนะเจ้าคะ
กราบขอโอกาส และ กราบขอบพระคุณที่หลวงตาเมตตาสั่งสอนเจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ
หลวงตา : ที่บอกมาทั้งหมดล้วนเป็นสังขาร ที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
มันเป็นปกติธรรมชาติที่ทุกปัจจุบันขณะสังขารเขาย่อมเกิด ดับ... ดับ เกิด... เกิด ดับ... เป็นธรรมดา
จะพยายามไปทำอะไรเพื่อให้เป็นอะไร หรือ จะไม่ให้เป็นอะไร หรือ พยายามจะไม่ไปทำอะไรกับสังขารเหล่านั้นทำไม
***** แม้แต่ในปัจจุบันขณะถ้ามีความพยายามอย่างใด ๆ เกิดขึ้นมา มันก็เป็นสังขารซึ่งเป็นธรรมชาติธรรมดาย่อมเกิดเอง ดับเอง... หมายถึง ไม่มีใครทำเกิด ไม่มีใครทำดับ
***** ไม่เห็นว่าจะมีความทุกข์เดือดร้อนใจกับสังขารต่าง ๆ เหล่านั้นไปทำไม หรือ เพื่อจะให้เป็นอะไรไปทำไม
เมื่อไม่ถือสา ไม่หลงบีบบังคับผลักไส ไม่หลงติดไป ไม่ยึดถือสังขารใด ๆ ในใจตนทุกปัจจุบันขณะ ก็จะ "พบใจ พบธรรม" ซึ่งเป็น "วิสังขารธรรม" ไม่ปรากฏอะไรเลย ไม่ปรุงแต่ง ไม่มีตัวตน (ไม่มีตัวจิตตัวใจ) จึงไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
***** เมื่อไม่หลงยึดใจเป็นเรา เป็นของเรา
ก็สิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรือ สิ้นกิเลส และ ความทุกข์อย่างเป็นอมตะ เรียกว่า “ถึงใจ ถึงนิพพาน” หรือ ใจที่ไม่มีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นใจบริสุทธิ์ เรียกว่า “นิพพาน”
***** ทุกสรรพสิ่งล้วนก่อเกิด กำเนิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วดับกลับคืนสู่ความไม่มีอะไร
เหตุใดจึงยึดเป็นตัวเรา ตัวเขาจริงจัง
สิ่งที่เห็น ได้ยิน สัมผัส ล้วนเป็นมายาเป็นภาพลวงตา มายาลวงใจ เสมือนมีอยู่จริง จึงหลงไล่จับคว้าเงา เป็นเหมือนความฝัน ตื่นขึ้นมา (ในภพชาติใหม่) ความฝันนั้นก็หายไป
เมื่อไหร่จะตื่นจากหลง (สิ้นอวิชชา)!!!
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 2 : ขอน้อมกราบองค์หลวงตาเจ้าค่ะ
กราบขอโอกาสเจ้าค่ะ ผิดถูกกราบหลวงตา (พ่อแม่ครูอาจารย์) ผู้รู้แจ้งกว่าชี้แนะเจ้าค่ะ
ช่วงนี้เกิดสภาวะธรรมขึ้นมาให้เห็นหลายครั้งค่ะหลวงตา แต่เช้านี้ที่ขณะนั่งเจริญ สติ สมาธิ เจ้าค่ะ
เห็นเหมือน ธาตรู้ (รู้) กับ ขันธ์ ๕ แยกการทำงานกันอย่างชัดเจนมากค่ะ (แต่ไม่ใช่แยก)
"รู้" เขารู้ทุกอย่าง เวลาสภาวะธรรมใดชัดขณะนั้นก็รู้ เช่น หายใจรู้ กายนั่งรู้ เวลาความคิดปรุงแต่ง เกิดขึ้น เขารู้ตลอดเจ้าค่ะ
รู้เขาแค่รู้ซื่อ ๆ ตรง ๆ ตามที่ขันธ์ทำงาน แต่ขันธ์เท่านั้นที่มันทำงานไม่หยุด ไม่ว่ามันจะวิพากษ์ วิเคราะห์ วิจารณ์ แต่ความรู้สึกไม่มีตัวเรา ตัวหนู...ฯ ไปแทรกไปร่วมไปแอ๊กชั่นในนั้นเลยค่ะหลวงตา และในรู้เขาก็รู้เขาเอง เวลาขันธ์ทำงานเจ้าค่ะ
ในขณะนั้นความรู้สึกตัวมันตื่นรู้ตลอด ไม่ขาดเลยแม้แต่วินาทีเดียวนะเจ้าคะ (นั่งประมาน 50 นาที เหมือนเร็วมาก)
มันเห็นทุกคิดแต่เหมือนง่าย ๆ ไม่รู้สึกทุกข์ใจ ร้อนรน ดิ้นรน กระวนกระวายอะไร ๆ ไปตามความคิดปรุงแต่งเลยค่ะ ที่สังเกต (สมองมันโล่ง หัวไม่หนัก) เจ้าค่ะ
ใช้สังขารอธิบายเผื่อมีประโยชน์ต่อท่านอื่นเจ้าค่ะ
หลวงตาคะ เมื่อวานหนูกำลังปลูกผักอยู่ดี ๆ มีสภาวะธรรมเกิดโพล่งขึ้นมาเจ้าค่ะว่า เอ้า... เราเหมือนต้นไม้... ต้นไม้เหมือนเราเลย
พืชผักก็ต้องใช้ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ... ไม่มีอะไรต่างกันเลย (ถ้ามนุษย์ไม่มีจิตวิญญาณ) เราเหมือนต้นไม้ทุกอย่างเจ้าค่ะ
น้อมกราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
หลวงตา : สักแต่ว่ารู้ อย่างนั้นแหละ
รู้ เป็นวิสังขารธรรม ไม่มีอะไรปรากฏ
รู้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
รู้ คือ ใจ
ใจ คือ รู้ นี้
ใจรู้ว่าอยู่กับรู้ หรือ อยู่กับใจ และ รู้ว่าไม่อยู่กับสังขาร หรือ หลงเป็นสังขาร
ไม่ใช่เข้าใจผิด พยายามเอาตัวเราไปอยู่กับรู้ หรือ พยายามยึดให้ใจของเรา "เป็นรู้ที่เป็นวิสังขารธรรม" เพราะความคิดความรู้สึกเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นใจของเรา เป็นสังขารธรรม ซึ่งเป็นสิ่งปรุงแต่ง เกิดดับ
ใจเขาเป็นธรรมชาติ ที่เป็นวิสังขารธรรม คือ ความไม่มีอะไรปรากฏมาแต่เดิม
ส่วนสังขารทั้งที่มีชีวิต และ ไม่มีชีวิต เป็นสิ่งปรุงแต่งขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วดับกลับคืนสู่ความไม่มีอะไรตามเดิม สังขารจึงเป็นของจรมา เป็นสมมติ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ส่วนใจ หรือ จิตเดิมแท้ หรือ ธาตุรู้ เป็นสัจธรรม เป็นธรรมชาติเดิมแท้ เป็น "วิมุตติ" เป็นธรรมชาติที่ไม่ปรากฏอะไร เป็น "วิสังขารธรรม"
ขณะจิตใดที่ไม่หลงสังขาร คือ ไม่หลงยึดถือสังขาร ไม่หลงไปเป็นสังขาร ไม่หลงยึดว่าเราเป็นผู้รู้ หรือ ผู้รู้เป็นเรา ไม่ยึดว่าเราเป็นวิสังขาร
ก็เป็นใจที่เป็นวิสังขารธรรมโดยอัตโนมัติ
จึงไม่มีใครใช้ความพยายามอย่างใด ๆ เพื่อให้ตัวเราเข้าถึงใจ เป็นใจที่เป็นวิสังขารธรรม ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ไม่ปรากฏอะไร
เพราะความคิด ความรู้สึกเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา ความดิ้นรนค้นหา ความพยายามอย่างใด ๆ เป็นสังขารธรรม ซึ่งเป็นธรรมชาติปรุงแต่งขึ้นมาจากความไม่มีอะไรปรากฏ ต้องดับกลับคืนสู่ความไม่มีอะไรตามเดิม เป็นของจร เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
***** สิ้นหลงสังขาร จึงพบธรรมแท้ เป็นธรรมแท้ที่ไม่อาจสังขารได้
ต้องรู้เห็นด้วยใจในปัจจุบันขณะ จึงจะรู้จักจากใจว่าอะไรเป็น........
“สังขารธรรม” คือ ธรรมชาติปรุงแต่งขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วดับกลับคืนสู่ความไม่มีอะไร
ใจ หรือ จิตเดิมแท้ ซึ่งเป็น “วิสังขารธรรม” ธรรมชาติเดิมแท้ที่ไม่มีอะไรปรากฏ
เมื่อรู้จักแล้วก็อยู่กับใจ ซึ่งเป็นบ้านที่แท้จริง กินอยู่กับใจ นอนอยู่กับใจ ไปไหนก็ไปกับใจ และ ตายไปกับใจ
ขันธ์ห้า ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นสังขารธรรม ยังไม่ถึงเวลาแตกดับ (ตาย) ก็ต้องบริหารจัดการให้เหมาะสม รวมทั้งคนอื่น และ สิ่งอื่น ๆ ที่มาเกี่ยวข้องด้วย
ส่วน "ใจ" ก็เป็นวิสังขารธรรมอย่างเป็นอมตะตลอดกาล
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
8-9 พฤษภาคม 2563
~~~~~~~~~~~~~~~
แนะนำฟังไฟล์เสียงจากยูทูปเพิ่มความถึงใจ :
200504A1-1 อยู่กับโลกด้วยใจที่เป็นธรรม ตอนที่ 1
https://youtu.be/kFIpjhRNLaY
200504A1-2 อยู่กับโลกด้วยใจที่เป็นธรรม ตอนที่ 2
https://youtu.be/QwSg5t4J3bE
200509A2-1โลกเป็นของจร ตอนที่ 1
https://youtu.be/zBSZxKFzS1A
200509A2-2โลกเป็นของจร ตอนที่ 2
https://youtu.be/zEtd_2sxalE
200501B2 ตัวเราเองที่ขวางธรรม
https://youtu.be/yAzoX0-z9tU
200429A2-1 กระแสธรรมบริสุทธิ์ ตอนที่ 1
https://youtu.be/w1C4Sg1oHjU
200429A2-2 กระแสธรรมบริสุทธิ์ ตอนที่ 2
https://youtu.be/dtkgtvj2mCM
~~~~~~~~~~~~~~~