โยม 1 : กราบเรียนหลวงตา
ตื่นเช้ามาปุ๊บเห็นแล้วเจ้าค่ะ ว่าใจมันมีการประคองรักษาตัวมันเองไว้ให้มัน "ไม่มีความอยาก" ตลอดไป
มันรักษาสิ่งนั้นคอยเช็คคอยตรวจสอบว่ามีอะไรอยาก หรือ ต้องการอะไรอีก หรือไม่ พอพบว่า เออ... ไม่ได้อยาก ไม่ได้ต้องการอะไรก็สบายใจแล้ว
แต่หารู้ไม่ว่าตัวเองรักษา "ใจที่ไม่อยาก" อยู่ เป็นภาระที่ต้องคอยสังเกตเป็นเครื่องพิมพ์ดีดแต๊ก ๆ ๆ ตลอดเวลาและเป็นภาระอย่างยิ่งจริง ๆ
พอมันรู้ว่า อ้อ... นี่ภาระนี่ มันก็เลิกรักษาไปเอง สังขารมันก็เป็นสังขารไปทุกขณะปัจจุบัน แต่ก็แปลกที่มัน ก็ยังไม่ได้มีความอยากอะไรกลับมา ยังไม่มีความทุกข์ใดกลับมาทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รักษาอะไรแล้วเจ้าค่ะ
ได้แต่สรุปว่า "ความอยาก" เป็นเพราะตัวเราเข้าใจผิด เพราะตัวเราหลง ตัวเรายึด แต่ความสิ้นอยากมันเป็นไปของมันเอง
"มันเลยตัวเรา" ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เลยความเห็นแจ้ง และ เลยปัญญาที่เห็นสัจธรรมความจริงออกไป ถึงความสิ้นภาระ มันจะไม่มีสิ่งเหล่านี้เหลืออีก เพราะมันเลยไปแล้ว แต่สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นทางที่ต้องผ่าน ไม่ผ่านไม่ได้ ไม่ผ่านสิ่งนี้แล้วจะให้สิ้นภาระทางใจ มันเป็นไปไม่ได้เจ้าค่ะ
มันต้องแจ่มแจ้งในเหตุผลของสัจธรรมมาเสียก่อนที่จะพบความนอกเหตุเหนือผลพ้นปัจจัยเจ้าค่ะ
เป็นทางเดินธรรมจริง ๆ คือ ทางเดินที่เป็นเหตุปัจจัย ไปสู่ความพ้นเหตุปัจจัยเจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ
โยม 2 : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ
ระหว่างที่อ่านการบ้านท่านอื่นหลังจากอธิษฐานแล้ว มันค่อย ๆ เห็นตัวเองที่มันแอบซ่อนอยู่ คือ มันต้องการจะรักษาตัวเองเอาไว้
การกระทำทุกอย่างแม้แต่การพิจารณาธรรม ก็เพื่อให้ตัวเราเป็นผู้เข้าใจธรรม มันมีตัวเราเบื้องหลังรอรับผลของการกระทำ และเห็นว่าตั้งเป้าหมายอย่างผิด ๆ ไว้ว่า ต้องการความสุขที่ไม่มีทุกข์ด้วย แม้ว่าจะฟังหลวงตาสอนมามากแล้วก็ตามค่ะ โง่แสนโง่เลยค่ะหลวงตา
หนูพยายามพิจารณาการบ้านที่หลวงตาส่งมาโดยเฉพาะตรง "ผู้รู้" ว่ามันไม่ใช่ตัวตนอย่างไร หนูคิดว่าที่หนูไม่เห็นก็เพราะมันคิดว่าเราจะเห็น มันมีตัวหนูไปขวางกลางธรรมเลยค่ะ
สรุปคือหนูทำตรงข้ามกับที่หลวงตาสอน ทั้งโง่ทั้งดื้อเลยค่ะ
กราบ กราบ กราบ หลวงตา
โยม 3 : รู้แล้วเจ้าค่ะว่าหลงผิดไล่หา ไล่จับ "ตัวกู" อยู่ ไม่ได้รู้เท่าทันปล่อยวาง "ตัวกู" เลย เอ่อ... หลงเข้าใจผิดว่ามีตัวเรา "โง่" ด้วยเจ้าค่ะ
ไม่เห็นว่ามันเป็นจิตปรุงแต่งเพราะเข้าใจว่ามี "ตัวกูโง่" เลยพยายามให้ "ตัวกู" หายโง่ หลงว่า "ตัวกู" มีอวิชชาอันละเอียดก็หลงพยายามหามันอีก
โอ๊ย!!! สรุปทั้งหมดมี "ตัวกู" แอบแฝงอยู่แบบเงาตามตัวเลยเจ้าค่ะ มันเป็นมายาที่หลอกลวงได้สุด ๆ จริงเจ้าค่ะ
เอ่อ... ยังหลงว่าถูกหลอกลวงได้ก็ยังมีตัวตนอีกใช่มั้ยเจ้าคะ
กราบ กราบ กราบ
~~~~~~~~~~~~~~~
องค์หลวงตาส่งภาพธรรมข้อความดังต่อไปนี้
"บอกให้ดับอวิชชา ไม่ใช่ให้จับอวิชชา!!! เฮ่อ... เด็กดื้อ"
องค์หลวงตาส่งโอวาทธรรมองค์หลวงปู่แบน ธนากโร เรื่อง "บุญที่แท้จริง" อ่านโอวาทธรรมคลิกที่ลิ้งก์ด้านล่างนี้
https://www.facebook.com/222682614451701/posts/2933699966683272/
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 4 : พอพยายามจะไปดับตัวเราที่ยึดถือ มันก็จะมีความคิดอีกอันมาเตือนตลอดว่า... สังขารนะ แล้วมันก็จะชอบติดอยู่ตรงนี้ค่ะ เพราะถ้าทำต่อก็ยิ่งแย่ เลยปล่อยไป กว่าจะหลุดบางที 3-4 วันเลยค่ะหลวงตา
หลุดแค่เสี้ยววินาที แป๊บเดียว เดี๋ยวเอาอีกล่ะเป็นแบบนี้วนไปค่ะ
กราบ กราบ กราบ
หลวงตา : มันมี "อวิชชาซ่อนเร้น" มีตัวเราไว้ในใจ มันเลยมีความไม่เลิกพยายามเพื่อตัวเรา
~~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 5 : กราบแทบเท้าองค์หลวงตาเจ้าค่ะ
อ่านการบ้านของโยมที่หลวงตาส่งมา เห็นภาพตัวเองเลยเจ้าค่ะ เป็นเหมือนกันเลย ความจริงแล้วความมีตัวเรานั้นแหละ ที่ไปขวางธรรม
และที่ผ่านมาไม่เคยเห็นว่าตัวเองดื้อกับหลวงตาเลยเจ้าค่ะ ครั้งนี้เห็นเต็ม ๆ เลยเจ้าค่ะว่าดื้อกับหลวงตา ดื้อที่ไม่ทำตามที่หลวงตาสอนแอบมีตัวเราซ้อนอยู่ในทุกการกระทำเลยเจ้าค่ะ
น้อมกราบขอบพระคุณองค์หลวงตาที่เมตตาอย่างหาประมาณมิได้เจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
~~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 6 : กราบนมัสการค่ะ หลงไปเป็นคนปรุงแต่งเองค่ะ จะระวังให้มีสติให้ทันค่ะ กราบขอโทษค่ะ
หลวงตา : มี “อวิชชา” ซ่อนเร้น มีตัวเราจะระวังให้มีสติ ให้ทันความหลงปรุงแต่ง
~~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 7 : หลวงตาเจ้าขา อวิชชาเป็นคลื่นพลังงาน (wave) ที่ปรุงเป็นตัวเราขึ้นมาทุกขณะจิต
เมื่อเห็นอวิชชา คือปรุงขึ้นมาเป็นตัวเราเมื่อไร
ให้วาง คือ แค่รู้ว่ามีความเป็นเราขึ้นมา ให้ปล่อยวางทุกขณะจิต กัดติดจดจ่อตรงนี้เลย ใช่ไหมเจ้าคะ
หลวงตา : ไม่ใช่! รู้เห็นจากใจจริง ๆ ว่า ทุกปัจจุบันขณะในใจ มีแต่ธรรมชาติของสังขาร
แม้แต่ความคิด ความรู้สึกเป็นเรา ตัวเรา ของเรา ก็เป็นสังขาร ที่เป็นคลื่นพลังงาน wave, vibration เกิดเอง ดับเอง... เกิดเอง ดับเอง..... ตลอดเวลา ไม่มีตัวตน ตัวเรา ของเราจริง ๆ
~~~~~~~~~~~~~~~~
องค์หลวงตาตอบด้วยภาพธรรมข้อความดังนี้
"ความคิดนึกปรุงแต่งของเราเองนั่นแหละ บดบังความจริงสูงสุดไว้"
~~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 8 : มันมีตัวจะจับให้ได้ไล่ให้ทัน แล้วพอรู้ว่าไปปั่นก็มีจะไปหยุด พอมีจะไปหยุดก็มีจะไปห้ามหยุดค่ะ พอเข้าวงจรโง่แล้ว มันออกไม่ได้ ถ้าคิดจะออกมันก็โง่อีก
กราบขอบพระคุณองค์หลวงตาที่ส่งมาค่ะ มีแว๊บ ๆ เห็นว่า "เอาล่ะนะ... จะตั้งใจเห็นล่ะนะ” มันจะเอาเพอเฟค (perfect) อีกแล้วค่ะ
หลวงตา : (ตอบด้วยสติ๊กเกอร์ฆ้อนทุบ และ หัวเราะ)
~~~~~~~~~~~~~~~
องค์หลวงตาส่งโอวาทธรรม เรื่อง "ตัณหาดับ ทุกข์ทั้งมวลก็ดับพร้อม" (อ่านรายละเอียดโดยคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้)
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 9 : หลวงตาเจ้าคะ
พิจารณาดูในอีกแง่มุมหนึ่ง (จากที่องค์หลวงตาเมตตาแจกแจงธรรมในหลายแง่มุม) ในธรรมชาติมีแค่
- สสาร (รูปธรรมที่จับต้องได้)
- พลังงาน (นามธรรมที่จับต้องไม่ได้)
- ความว่าง (อากาศธาตุ คือ ช่องว่างให้สสาร และ พลังงานเคลื่อนไหว) และ
- ธาตุรู้ (ความรู้บริสุทธิ์/ความรู้ของธรรมชาติ ที่อยู่แทรกซึมในสสาร พลังงาน และความว่าง)
Wave หรือ คลื่นพลังงาน กับ Vibration หรือ ความสั่นสะเทือน (ของคลื่นพลังงานที่ต่อเนื่อง) มันเกิดมาจากสิ่งเดียวกัน
Wave (คลื่นพลังงาน) ก่อตัวขึ้นมาจากความว่าง หรือ ความไม่มีอะไรเลย เมื่อไหวตัวขึ้นมาจากความปรุงแต่งละเอียดก่อให้เกิด Vibration (ความสั่นสะเทือน) จากความยึดถือ ที่มันปรุงขึ้นมาจากนามนั้นเอง (หลงยึดถือตัวมันเอง)
ความสั่นสะเทือนที่ต่อเนื่องกลายเป็น “กระแส” จากความปรุงแต่งละเอียดก็กลายเป็นหยาบขึ้น จนก่อร่างสร้างรูปขึ้นมารองรับนาม ที่ปรุงแต่งขึ้นมานั้น
จาก 0 (สุญญตา–ความไม่มีอะไร) กลายเป็น “ความมี” ขึ้นมา (เป็น 1, 2, 3, ร้อย, พัน, หมื่น, ล้าน...)
กระบวนการของความปรุงแต่งเกิดขึ้นเองจากการที่มันสำคัญผิด คิดว่ามีตัวจิต (ตั้งแต่ wave แรกที่เคลื่อนไหว) มันจึงต่อเป็น vibration ยาว ๆ แต่สุดท้ายกระบวนการนี้ก็ต้องสิ้นสุดลงของมันไปเอง เพราะจุดกำเนิดมันมาจาก “ความไม่มี”
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้... (ล้าน, หมื่น, พัน, ร้อย, 3, 2, 1) มันจึงต้องกลับคืนสู่ 0 สุญญตา
ทุกสิ่งที่เห็น สัมผัสรับรู้ได้ว่า... “มีอยู่”
แต่... ที่จริงแล้ว... มัน “ไม่มีตัวตนอยู่จริง”
Existing but Intangible
มีอยู่... แต่ไร้ตัวตน
การถอดถอนความหลงยึดถือความเป็นตัวตนใน “นามจิต” คือกระบวนการถอยหลังกลับจาก ความมี สู่ สุญญตา เหมือนภาพม้วนกลับ (Rewind)
ที่พระพุทธองค์ตรัสกับพระโมฆราชว่า
“... เธอจงมองดูโลกนี้เป็นของว่างเปล่าจากตัวตน ไม่มีแก่นสารสาระให้ยึดมั่นถือมั่นได้”
“จิต อวิชชา ตัวตน” จึงเป็น “มายาลวงโลก” ที่หลอกได้แต่ “คนเขลา” เท่านั้นเองเจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ
~~~~~~~~~~~~~~~
องค์หลวงตาส่งภาพธรรมข้อความดังต่อไปนี้
ภาพที่ 1
"โมฆราช เธอจงมองดูโลกนี้เป็นของว่างเปล่าจากตัวตน ไม่มีแก่นสารสาระให้ยึดมั่นถือมั่นได้"
~~~~~~~~~~~~~~~
ภาพที่ 2
"จิตตสังขาร ที่เกิดดับเปลี่ยนแปลงในทุกขณะ ดังมายากลลวงโลก ที่คอยหลอกหลอนให้ลุ่มหลง ลวงได้แต่ "ผู้หลง" ติดอยู่กับ "ภาพลวงตา"
ใจที่รู้ใจ หรือ ใจที่พบใจ ย่อมคืน คลาย ถ่ายถอน สลัดทิ้งความหลงยึดมั่นถือมั่น สิ้นการให้ค่าให้ความหมายใน "ภาพมายา"
มายากลจึงกลายเป็นสิ่งไร้ค่า เปิดฉากทำการแสดงเก้อ ๆ ต่อไป แต่ไร้ผู้ดู"
~~~~~~~~~~~~~~~
ภาพที่ 3
"ปัญญาสูงสุด คือ ปัญญาเห็นอวิชชา ความหลงยึดถือตัวตน ในทุกขณะจิตปัจจุบัน"
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
9 พฤษภาคม 2563
~~~~~~~~~~~~~~~
แนะนำฟังไฟล์เสียงจากยูทูปเพิ่มความถึงใจ :
200429A1-1 ปรุงแต่งอยู่บนความไม่ปรุงแต่ง ตอนที่ 1
https://youtu.be/2agcWXsQ6N8
200429A1-2 ปรุงแต่งอยู่บนความไม่ปรุงแต่ง ตอนที่ 2
https://youtu.be/BukDWfJD6e8
200429A2-1 กระแสธรรมบริสุทธิ์ ตอนที่ 1
https://youtu.be/w1C4Sg1oHjU
200429A2-2 กระแสธรรมบริสุทธิ์ ตอนที่ 2
https://youtu.be/dtkgtvj2mCM
200501B2 ตัวเราเองที่ขวางธรรม
https://youtu.be/yAzoX0-z9tU
200504A1-1 อยู่กับโลกด้วยใจที่เป็นธรรม ตอนที่ 1
https://youtu.be/kFIpjhRNLaY
200504A1-2 อยู่กับโลกด้วยใจที่เป็นธรรม ตอนที่ 2
https://youtu.be/QwSg5t4J3bE
200509A2-1โลกเป็นของจร ตอนที่ 1
https://youtu.be/zBSZxKFzS1A
200509A2-2โลกเป็นของจร ตอนที่ 2
https://youtu.be/zEtd_2sxalE
~~~~~~~~~~~~~~~