โยม : สมมติว่าเราเห็นอะไร หรือ ว่าเราได้ยินอะไร มันมีตัวเราเข้าไปรองรับ เรารู้ว่ามัน "มีตัว" เข้าไปรองรับ ไอ้ตัวเข้าไปรองรับนี่มัน…?
หลวงตา : สังขาร!… มันเป็นตัวปรุงแต่ง ปรุงมันขึ้นมา
โยม : อันนี้เข้าใจ แต่ว่าทุกครั้งมันจะมีอยู่แล้วค่ะว่ามันมีตัวเราเข้าไป
หลวงตา : ก็เห็นว่ามันเป็นตัวปรุงแต่ง
โยม : แล้วพอเราเห็น ปุ๊บ! ตัวปรุงแต่งอันนี้มันจะหยุดใช่มั้ย?
หลวงตา : มันก็ดับไป
โยม : แต่เดี๋ยวพอเราเกิดคิดใหม่ มันก็มีใหม่ แล้วเราเห็นใหม่ มันก็ดับไป
หลวงตา : ใช่ ๆ... เราก็เห็นจนกว่าเราจะลงแก่ใจว่า ความปรุงแต่ง มันไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงหรอก มันเกิดแล้วก็ดับ ด้วยอำนาจรู้เท่าทัน มันเกิดแล้วก็ดับ ๆ ๆ
แท้จริงน่ะ... ตัวตนไม่มีอยู่จริงหรอก เพราะว่ามันเกิดแล้วก็ดับพร้อม... เกิดแล้วก็ดับพร้อม... เมื่อ “สติ” มีอยู่ ถ้ามันมีตัวตนอยู่จริงนะ เรามีสติให้ตายมันก็ไม่ดับ
พอมันเกิดความมีตัวตนเข้าไป
“เห็น” มีตัวตนเข้าไปร่วม
“ได้ยิน” มีตัวตนเข้าไปร่วม
"ไปรู้" อาการทางใจ มีตัวตนเข้าไปร่วม
พอสติมาพร้อมปุ๊บ! มันดับพร้อมเลย!! มีตัวตนเข้าไปยึดถือ มันดับพร้อม
ถ้าตัวตนมันมีคงที่อยู่จริงมันไม่มีทางดับหรอก สติมาก็ไม่ดับ
โยม : แค่มีสติปุ๊บ!เนี่ย ตัวนั้นมันก็จบเลย…?
หลวงตา : มันก็ดับ เราเห็นบ่อย ๆ จึงเห็นว่า อ๋อ… ความเป็นตัวตนเป็นของเกิดดับนี่หว่าเนี่ย!! มันไม่ได้เป็นตัวตนจริง ๆ คงที่จริง ๆ แล้วก็เกิดพร้อมดับพร้อม... ความเป็นตัวตน
จึงเห็นความเป็นตัวตนไม่มีอยู่จริง
พอเห็นความเป็นตัวตนไม่มีอยู่จริง แค่นั้นมันก็เลยหมดความหมาย มันโผล่มาเมื่อไหร่ก็ดับพร้อม โผล่มาเมื่อไหร่ก็ดับพร้อม ตอนหลังมันสู้สติปัญญาไม่ได้ สติปัญญามันรู้เท่าทันบ่อย ๆ ๆ
มันสู้สติปัญญาไม่ได้ “ความหลงยึดถือ” เป็นตัวเป็นตนคงที่จริง ๆ เราเป็นตัวตนคงที่จริง ๆ ก็ค่อย ๆ หมดความหมายไป ค่อย ๆ หมดอิทธิพลหมดความหมายต่อใจ เวลามันเกิดมาแต่ละครั้งก็ค่อย ๆ เจือจาง ด้วยอำนาจสติปัญญาที่รู้ทัน ไปบ่อย ๆ ๆ ความเป็นตัวตนที่เป็นตัวตนจริง ๆ ของเรา ที่จะไปยึดถือจริง ๆ เป็นตัวตน มันก็หมดความหมายไปเรื่อย ๆ แล้วสุดท้ายก็จางคลาย เหลือแต่ "ความรู้ที่ไม่มีตัวตน"
ใจมันเลยว่างเปล่าเลยตอนนี้เพราะว่ามันไม่มีตัวตนไปยึดถือใจ ใจมันเลยว่างเปล่า
ที่โยมหมอ (หมายถึงโยมหมอศรีวิไล จากไฟล์เสียงที่อ้างถึง) บอกว่ามันเห็นแล้วไม่มีคนยึดถือ คือใจโยมหมอมันว่าง ใจมันว่างเปล่าไปหมดเลย มันไม่เหมือนว่างเมื่อก่อน ว่างเมื่อก่อนมันเป็นอาการแล้วมันมีคนไปยึดถือ
ไม่เหมือนตอนนี้ "มันไม่มีตัวตนเลย... ไม่มีตัวตนของผู้รู้เลย... ใจมันไม่มีตัวตน" เมื่อใจมันไม่มีตัวตนแล้วมันว่าง… ว่างจากตัวตน มันเลยไม่มีตัวตนไปยึดถือ
เพราะฉะนั้นทุกครั้ง ทุกขณะจิตปัจจุบัน เมื่อมีความรู้สึกว่ามีตัวตนเข้าไปร่วม ก็เห็นมันเป็นเพียงแค่ "สังขารปรุงแต่ง" ปรุงแต่ง ... ปรุงแต่ง ... เป็นแค่ปรุงแต่ง พอเห็นปรุงแต่งบ่อย ๆ มันไม่ได้กลัวความปรุงแต่งแล้ว สติปัญญาน่ะ นี่คือทางเดินจริง ๆ
การที่หลงเข้าไปยึดถือ มีตัวตนเข้าไปยึดถือแต่ละครั้ง เป็นทุกข์ เป็นสมุทัย "การรู้เท่าทัน" แต่ละครั้งเป็นมรรค เป็นนิโรธ
ดังนั้นถ้าหลงปั๊บ! เป็นทุกข์ เป็นสมุทัย สติรู้ทันปั๊บ! เป็นมรรค เป็นนิโรธ มันก็เลยเกิดขณะจิตเดียวกันเกิดพร้อมแล้วดับพร้อม คือ หลงเกิดปุ๊บ! แล้วก็รู้ทัน… ที่หลงก็ดับพร้อม
ก็เลยเป็นอริยสัจ 4 "เห็นอริยสัจ 4" พระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ ก็สอนอริยสัจ 4 เป็นส่วนใหญ่
คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ก็เท่ากับว่าการรู้เห็นอย่างนี้ เป็นการปฏิบัติธรรมตามคำสอนพระพุทธเจ้าแล้วเมื่อใจเป็นธรรมเรียกว่า “รู้ธรรมเห็นธรรม” ก็คือรู้อริยสัจ 4 เห็นอริยสัจ 4 แล้วใจก็เป็นธรรม คือเป็นมรรค เป็นนิโรธ
พอยึดทีไรก็เป็นทุกข์ เป็นสมุทัย รู้ทันความยึด... มีการปรุงแต่งเป็นตัวเราไปยึด รู้ทันก็เป็นมรรค เป็นนิโรธ
พอ "สติ" ขาดก็หลงมีตัวเราไปยึด รู้ทันก็เป็นมรรค เป็นนิโรธ มันก็จะเป็นขณะจิตเดียวกัน
เพราะฉะนั้นถ้าไม่หลงซะก่อนจะไปรู้ทันอะไร... ทุกข์ สมุทัย มันจึงมาก่อน มรรค นิโรธ มันจึงมาคู่หลัง มรรคนิโรธก็ไปรู้ทัน... ปรุงแต่งปัจจุบันขณะ... ที่มีตัวเราปรุงแต่งเป็นตัวเราเข้าไปยึด
สติปัญญาจะรู้ทันความปรุงแต่งว่า มันไม่ใช่เป็นตัวตนอยู่จริง รู้ทันว่ามันเป็นแค่ความปรุงแต่ง
พอรู้ทัน… ความปรุงแต่งก็ดับไปก็เป็นมรรค เป็นนิโรธ ความรู้ทันเป็นมรรค... ความดับเป็นนิโรธ... ความเกิดเป็นตัวตนไปยึดเป็นสมุทัย... ผลของความยึดเป็นทุกข์... ทุกข์เพราะมันไม่ได้อย่างใจอยาก แต่ละคนที่คับแค้นก็เพราะว่าไม่ได้อย่างใจอยาก มันก็เลยเป็นทุกข์
การปฏิบัติเช่นนี้เท่ากับปฏิบัติตามคำสอนพระพุทธเจ้าตลอดเวลา รู้ธรรมเห็นธรรมตลอดเวลา คือ เห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค คือ "อริยสัจ 4" เรียกว่า… เห็นอริยสัจ
ที่เขาบอกว่า อวิชชาคืออะไร? ก็คือ...
“ความไม่เห็นอริยสัจ ความไม่รู้อริยสัจ” นี่คืออวิชชา!!!
“อริยสัจ” คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไม่เห็นอริยสัจในปัจจุบันขณะนี่คือ “อวิชชา”
เพราะฉะนั้น "อวิชชา" มันจึงไม่ได้เป็นตัวตนคงที่อะไรหรอก มันเป็นแค่ปัจจุบันขณะ ทุกข์ สมุทัยเกิด ก็เกิดในปัจจุบันขณะ แล้วก็รู้ทันในปัจจุบันขณะ ทุกข์ สมุทัยก็ดับไป เรียกว่า… เห็นอริยสัจ
การปฏิบัติเช่นนี้ไม่มีผิดเลย ไม่มีผิดทางพระพุทธเจ้าที่สอนมาตลอดชีวิตของพระองค์
... จนกระทั่งหลวงปู่ดูลย์ อตุโล... ที่เขาเอามาเขียนเป็นกลอนสั้น ๆ ว่า อริยสัจ 4 คำสอนพระพุทธเจ้ามารวมลงที่
“จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ผลแห่งจิตส่งออกนอกเป็นทุกข์”... นี่คือฝ่ายทุกข์ กับสมุทัย
“จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค ผลแห่งจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ” คือความดับทุกข์… อันนี้คือปัจจุบันขณะ ๆ ๆ
“จิตส่งออกนอก” คือ เวลาได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้อาการในใจ ก็จะมีตัวเราเนี่ยบวกเข้าไป เพราะว่าจิตส่งออกก็คือมี “ตัวเรา" เป็น "อวิชชา” ความจริงตัวเราไม่มี แต่มีอวิชชาติดอยู่กับจิต ที่ไปรู้ปุ๊บ! ก็ยึดเป็นตัวเรา
มี “ตัวเรา” ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส รู้อาการ… แล้วก็ยึด มันก็เป็นทุกข์เป็นสมุทัยทันที
“จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง” ก็คือเห็นจิตที่มันมี "ความปรุงแต่งเป็นตัวเรา" ปนอยู่ในจิตที่ส่งออก... ในจิตเดิมแท้
ในการรู้แต่ละขณะจิต ก็เห็นความเป็นตัวตนมันเป็นความปรุงแต่ง พอรู้ทันก็ดับพร้อม เห็นเกิดพร้อมเห็นดับพร้อม นี่เรียกว่าเห็นทุกข์ สมุทัย เป็นมรรค เป็นนิโรธ เป็นขณะจิตเดียวเองนะ!! ขณะจิตเดียวกันไม่ได้เป็นคนละขั้นตอน
ที่หลวงปู่ทา จารุธัมโม ท่านว่า... "ธรรมะมีแต่ปัจจุบันขณะ หลุดจากปัจจุบันขณะไม่มีอะไรเป็นธรรม"
ก็คือเนี่ย... ปัจจุบันขณะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็คือเห็นในปัจจุบันขณะ อดีตเป็นธรรมเมา อนาคตเป็นธรรมเมา รู้ปัจจุบัน ละปัจจุบัน สิ้นยึดปัจจุบัน เป็นธรรมะ ธัมโม
"ธรรมะธัมโม" รู้ปัจจุบันไม่มีผู้ยึดปัจจุบันขณะ ๆ ๆ สิ้นยึดปัจจุบัน ก็คือสิ้นยึดเพราะรู้ทันในปัจจุบันขณะ สิ้นยึดเพราะรู้ทันว่ามันเป็นปรุงแต่ง ตัวตนที่ไปยึดน่ะไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง มันเป็นเพียงแค่ปรุงแต่ง
ปรุงแต่งอะไร? ก็ปรุงแต่งเป็นตัวตน แต่คนไปแปลเข้าใจผิด คือ พอไปเห็นเนี่ยทำให้มันไม่คิด ให้รู้เอ๋อ ๆ พอได้ยินก็ทำให้มันไม่คิด ทำให้มันได้ยินเอ๋อ ๆ รู้กลิ่น รู้รส รู้อาการของใจ ก็ทำให้มันไม่คิดให้มันรู้เอ๋อ ๆ แต่มันไม่ใช่!!
ที่ว่ารู้เห็นความปรุงแต่ง… คือรู้เท่าทันความเป็นตัวเรา ที่เข้าไปในปัจจุบันขณะในการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส รู้อาการของใจ แล้วก็ปรุงเป็นตัวเรา… เข้าไปเป็นเจ้าของ
“เราเป็นผู้เห็น แล้วเราก็เป็นผู้ยึด… เราเป็นผู้ได้ยิน แล้วเราก็เป็นผู้ยึด… เราเป็นผู้ได้กลิ่น แล้วเราก็เป็นผู้ยึด… เราเป็นผู้รู้รส แล้วเราก็เป็นผู้ยึด… เราเป็นผู้รู้สัมผัส แล้วเราก็ยึด… เราเป็นผู้คิด แล้วเราก็ยึด… เราเป็นผู้มีอารมณ์ แล้วเราก็ยึด… เราเป็นผู้รู้ แล้วเราก็ยึด”
เพราะฉะนั้นสติปัญญามันรู้ทันในปัจจุบันขณะ รู้ทันอะไร? รู้ทันความปรุงแต่งว่าเป็นเรา ที่ไปยึดเอาเป็นของ ๆ เรา มันเป็นความปรุงแต่ง มันไม่ได้เป็นตัวตนคงที่อยู่จริง พอรู้ทันว่าเป็นความปรุงแต่งมันก็ดับไป เดี๋ยวก็ปรุงขึ้นมาอีกก็รู้ทันอีก มันก็ดับไป แต่เพราะรู้ทันบ่อย ๆ แล้วมันก็ค่อย ๆ หมดอำนาจไป อวิชชาที่มันโง่อยู่บ่อย ๆ ใครจะปล่อยให้มันโง่อยู่อย่างนี้ ให้มันทิ่มตำตลอดไปล่ะ
แต่คนก็ไปแปลผิด!! ไปตัดตรงความคิดเลย ทีนี้มันก็เลยเอ๋อ... ทำอะไรก็เอ๋อ... ทำเอ๋อ ๆ ไว้ ได้ยินอะไรก็ทำเอ๋อ ๆ
“หลวงปู่… ด่าว่าไอ้ซื่อบื้อ โง่ดักดานมากี่ภพกี่ชาติ ฝึกรู้เอ๋อ ๆ แบบนี้… มันซื่อบื้อ” มันคนละเรื่องกัน
รู้ทัน “ความปรุงแต่งเป็นเรา” กับไป “ยึด” เป็นของ ๆ เรา… แค่นั้นเอง แต่นี่ไปทำให้มันไม่คิด ทำให้มันซื่อบื้อ รู้เฉย ๆ อยู่กับปัจจุบัน... รู้เฉย ๆ อยู่กับปัจจุบัน
ปฏิบัติหลงเดินทางผิดกันมาตลอด เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจ...!!
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
200417A2 แยกกาย เวทนา จิต ธรรม
17 เมษายน 2563
ฟังจากยูทูป :
https://youtu.be/stgxCDUQ-EE
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
การบ้านโยมหลังจากได้ฟังไฟล์เสียง 200417A2 แยกกาย เวทนา จิต ธรรม กราบเรียนองค์หลวงตาเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2563
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
โยม : กราบเรียนหลวงตาครับ
ขอโอกาสครับ "อริยสัจ 4" ปรากฏเฉพาะหน้าอยู่แล้วในปัจจุบันขณะ
เพราะความโง่เขลาเบาปัญญาด้วย "อวิชชา" บดบังอยู่ จึงทำให้ไม่รู้ในอริยสัจ 4 อันเป็นสัจธรรมความจริง ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ และที่สำคัญคือองค์หลวงตา ได้เมตตาถ่ายทอดธรรมอันเป็นสัจธรรมความจริงแท้ เพื่อโปรดสรรพสัตว์ให้หูตาสว่างในสัจธรรมความจริง
ผมได้ฟังไฟล์ของคุณหมอ ที่หลวงตาได้ส่งมาและไฟล์ล่าสุด "แยกกาย เวทนา จิต ธรรม" ผมฟังไปถึงตอนที่หลวงตาได้อธิบายเกี่ยวกับอริยสัจ 4 ตรงนี้เห็นความโง่เขลาเบาปัญญาในตัวเองขึ้นมาทันที ก็สัจธรรมความจริงปรากฏอยู่เฉพาะหน้าอยู่แล้วทำไมไม่รู้ตัว
ตอนนี้โลกแห่งความจริงได้ถูกเปิดขึ้นแล้วแก่ใจ รู้อริยสัจ 4 ว่าเป็นยังไง ตัวตนปรากฏตัวอย่างแจ่มแจ้ง ตัวตนเริ่มถูกถอดถอน ตัวตนปรากฏตัวแล้วทยอยหายไป อะไรแอบแฝงอยู่ฝังอยู่ในใจ ปรากฏออกมาแสดงให้เห็นแล้วเลือนลางหายไป
ตั้งแต่ตี 2 กว่า นอนไม่หลับพยายามนอนยังไงก็ไม่หลับ รู้อยู่เห็นอยู่ในองค์อริยสัจ 4 ทำงาน ก็ยังคงฟังไฟล์ธรรมต่อเพราะนอนไม่หลับ หลักธงที่แอบหมายไว้ตอนไหนไม่รู้ตัวปรากฏตั้งขึ้น ตั้งขึ้นแล้วล้มลงหายไป สิ่งต่าง ๆ นานา ปรากฏให้เห็นในความจริงแล้วเลือนลางหายไป
จึงได้กราบเรียนส่งการบ้านครับหลวงตา
~~~~~~~~~~~~~~~
ฟังไฟล์เสียงซีรีส์โยมหมอศรีวิไล ที่ส่งการบ้านองค์หลวงตาทางโทรศัทพ์และเกื้อกูลในธรรม ตั้งแต่ครั้งที่ 1-9 ตามลำดับ เพื่อความเข้าใจถึงใจในธรรมแท้ที่สิ้นความหลงยึดมั่นถือมั่น
ครั้งที่ 1 วันที่ 9 เม.ย.63 เรื่อง ไม่มีอะไรเหลือให้ยึดถือ
200409A2-1 ไม่มีอะไรเหลือให้ยึดถือ
https://youtu.be/gLQvxTfiF-0
ครั้งที่ 2 วันที่ 11 เม.ย.63 เรื่อง ธาตุรู้ไม่มีผู้ยึดถือ
200411A1 ธาตุรู้ไม่มีผู้ยึดถือ
https://youtu.be/iofBi1swRSw
ครั้งที่ 3 วันที่ 13 เม.ย.63 เรื่อง ยึดถือธาตุรู้ เป็นอวิชชา
200413A2 ยึดถือธาตุรู้ เป็นอวิชชา
https://youtu.be/S_mtYvQzLXk
ครั้งที่ 4 วันที่ 13 เม.ย.63 เรื่อง ธรรมชาติรู้ รู้ในตัวเอง
200413A3 ธรรมชาติรู้ รู้ในตัวเอง
https://youtu.be/HTo7A4hNQF4
ครั้งที่ 5 วันที่ 15 เม.ย.63 เรื่อง ดับอวิชชา
200415B-1 ดับอวิชชา
https://youtu.be/V5D1hytBRVI
ครั้งที่ 6 วันที่ 17 เม.ย.63 เรื่อง ดับตัณหา มี 2 ตอน
200417A1-1 ดับตัณหา ตอนที่ 1
https://youtu.be/ocyvjNt9yF8
200417A1-2 ดับตัณหา ตอนที่ 2
https://youtu.be/g7ZWd3TvV_U
ครั้งที่ 7 วันที่ 17 เม.ย.63 เรื่อง ทางเดินแห่งธรรม คุณหมอศรีวิไล มี 2 ตอน
200417B-1 ทางเดินแห่งธรรม คุณหมอศรีวิไล ตอน 1
https://youtu.be/9Gy-AUV9pH8
200417B-2 ทางเดินแห่งธรรม คุณหมอศรีวิไล ตอน 2
https://youtu.be/q4YAWqz4TUM
ครั้งที่ 8 วันที่ 17 เม.ย.63 ปรารภเหตุแห่งธรรม จากซีรีส์โยมหมอศรีวิไล : สนทนาธรรมกับคณะศิษย์
200417B-3 แยกกาย เวทนา จิต ธรรม
https://youtu.be/stgxCDUQ-EE
ครั้งที่ 9 วันที่ 17 เม.ย.63 ปรารภเหตุแห่งธรรม จากซีรีส์โยมหมอศรีวิไล : สนทนาธรรมกับคณะศิษย์
200417B-4 อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ตอน 1
https://youtu.be/64qNtYi7GG0
200417B-5 อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ตอน 2
https://youtu.be/ju1edfLMqII
แนะนำอ่านโอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนาดังต่อไปนี้ จะยิ่งได้อรรถรสถึงใจมากขึ้น
เรื่อง "อวิชชาในจิตเดิมแท้" (12 เม.ย.63)
http://www.luangtanarongsak.org/home/index.php/2017-10-14-13-20-39/2017-10-14-13-21-12/63/dm-teaching-63-q2/item/5217-04-apr16-63-ot-63-q2-05
เรื่อง "ความเข้าใจเรื่อง "ฐีติจิต" จิตเดิมแท้" (4 เม.ย.63)
http://www.luangtanarongsak.org/home/index.php/2017-10-14-13-20-39/2017-10-14-13-21-12/63/dm-teaching-63-q2/item/5148-04-apr04-63-ot-63-q2-54
~~~~~~~~~~~~~~~