ปฐมเหตุสืบเนื่องจากโอวาทธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เรื่อง “การรู้โดยไม่คิดเอง คือ การเดินวิปัสสนาที่ละเอียดที่สุด”
การรู้โดยไม่คิดเอง คือ การเดินวิปัสสนาที่ละเอียดที่สุด
ตราบใดที่ยังเห็นว่าจิต คือ ตัวเรา เป็นของ ๆ เรา ที่ต้องช่วยให้จิตหลุดพ้นตราบนั้นตัณหา หรือ สมุทัยก็จะสร้างภพของ "จิตว่าง" ขึ้นมาร่ำไป
ขอย้ำว่าขั้นนี้จิตจะดำเนินวิปัสสนาเอง ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติจงใจกระทำ
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าไม่มีใครเลยที่จงใจ หรือ ตั้งใจบรรลุมรรคผลนิพพานได้ มีแต่ "จิต" เค้าปฏิบัติตนเอง ไปเท่านั้น
เมื่อจิตทรงตัวรู้ แต่ไม่คิดอะไรนั้น บางครั้งจะมีบางสิ่งผุดขึ้นมาสู่ภูมิรู้ของจิต แต่จิตไม่สำคัญมั่นหมายว่ามันคืออะไร เพียงแค่รู้เฉย ๆ ถึงความเกิด-ดับนั้น เท่านั้น
ในขั้นนี้เป็นการเดินวิปัสสนาขั้นละเอียดที่สุด ถึงจุดหนึ่ง จิตจะก้าวกระโดดต่อไปเอง
การเข้าสู่มรรคผลนั้น รู้มีตลอด แต่ไม่คิด และไม่สำคัญมั่นหมายในสังขารละเอียดที่ผุดขึ้นมานั้น
เมื่อจิตถอยออกจากอริยมรรคและอริยผลที่เกิดขึ้นแล้ว ผู้ปฏิบัติจะรู้ชัดว่าธรรมเป็นอย่างนี้ "สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องดับไป" ธรรมชาติบางอย่าง มีอยู่แต่ก็ไม่มีความเป็นตัวตนสักอณูเดียว
นี้เป็นการรู้ธรรมในขั้น "พระโสดาบัน" คือ ไม่เห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม้แต่ตัวจิตเองเป็นตัวเรา แต่ความยึดถือในความเป็นเรายังมีอยู่
เพราะขั้น "ความเห็น" กับ "ความยึด" นั้น มันคนละขั้นกัน
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ที่มา : FB กลุ่มตามรอยพระอรหันต์ (โพสต์โดย : โลกร้อน เย็นธรรม)
https://www.facebook.com/groups/1535103073407358/permalink/2496634583920864/
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
การบ้านโยมหลังจากได้อ่านโอวาทธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 1 : กราบนมัสการหลวงตาด้วยใจเคารพนอบน้อมเจ้าค่ะ ขอโอกาสหลวงตาเมตตาช่วยขยายความเจ้าค่ะ
“การรู้โดยไม่คิดเอง คือ การเดินวิปัสสนาที่ละเอียดที่สุด ตราบใดที่ยังเห็นว่า จิต คือ ตัวเรา เป็นของ ๆ เรา ที่ต้องช่วยให้จิตหลุดพ้น ตราบนั้นตัณหา หรือ สมุทัยก็จะสร้างภพของ "จิตว่าง" ขึ้นมาร่ำไป...”
ที่บอกว่าตัณหาจะสร้างภพของ "จิตว่าง" ขึ้นมาร่ำไป คืออย่างไรเจ้าคะ
กราบ กราบ กราบ แทบเท้าหลวงตาเจ้าค่ะ (เป็นคำสอนขององค์หลวงปู่ดูลย์เจ้าค่ะ)
หลวงตา : กราบขอโอกาสพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ขออนุญาตขยายความคำสอน เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจในธรรม
คำถาม
“การรู้โดยไม่คิด คือ การเดินวิปัสสนาที่ละเอียดที่สุด” เป็นอย่างไรนั้น
หลวงตา : หมายถึงรู้จิตตสังขาร ความคิด หรือ ความปรุงแต่งในปัจจุบันขณะจิตนั้นขึ้นมาเอง โดยไม่มีเจตนารู้ (รวมทั้งไม่จงใจรู้ ไม่พยายามรู้ ไม่ตั้งใจรู้ด้วย) เป็นการรู้โดยไม่คิด
ผู้ที่รู้เห็นแบบนี้ได้ ต้องฝึกจนถึงขั้นที่ในปัจจุบันขณะ ไม่มีเจตนาคิด หรือ เจตนาปรุงแต่งจิตอย่างใด ๆ แล้วจะรู้จิตตสังขารในปัจจุบันขณะนั้นขึ้นมาเองโดยไม่มีเจตนารู้ว่า.....
***** จิตตสังขารเขาเกิดเอง ดับเอง... เกิดเอง ดับเอง... ๆ ๆ ๆ ๆ ......
***** ส่วนผู้รู้ก็ไม่มีเจตนาที่จะดูหรือรู้อะไร เขารู้ของเขาขึ้นมาเอง
เป็นธาตุรู้แท้ หรือ วิญญาณธาตุแท้ ซึ่งเป็นจิตดั้งเดิมตั้งแต่กำเนิดจิต หรือ ธาตุรู้ขึ้นมาในจักรวาล พร้อมกับมี “อวิชชา” ความหลงยึดมั่นถือมั่นจิตว่าเป็นตัวเรา เป็นของ ๆ เราติดมาด้วย
“จิตดั้งเดิม” เป็นวิสังขาร อสังขตธาตุ อสังขตธรรม เป็นความรู้ขึ้นมาเอง โดยไม่มีเจตนารู้ จึงเป็นความรู้ที่ไม่คิด ไม่ได้เกิดจากจิตปรุงแต่ง แต่เป็นธาตุรู้ หรือ วิญญาณธาตุแท้ ที่รู้ขึ้นมาเอง เป็นของเป็นเอง เขาเป็นธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ ปุถุชน และสรรพสัตว์ทั้งหมด แต่ปุถุชนและสรรพสัตว์ทั้งหลายมีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน คือ หลงคิด หลงปรุงแต่ง หลงยึดมั่นถือมั่น จึงปิดบังธาตุรู้แท้ตามธรรมชาติเสียหมด
***** ถึงแม้จะใช้ความพยายามดิ้นรนค้นหา ปรุงแต่งสักเพียงใด ก็ไม่อาจพบจิตดั้งเดิม หรือธาตุรู้ตามธรรมชาติได้ เพราะธาตุรู้เขาเป็นธรรมชาติที่เป็นเอง รู้ขึ้นมาเอง โดยไม่คิดและไม่มีเจตนารู้
***** ดังนั้น การรู้โดยไม่คิดจึงเป็นการเดินวิปัสสนาที่ละเอียดที่สุด
***** ผู้ใดฝึกมาถึงขั้นนี้ ก็จะรู้เห็นจากใจว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่ง (สังขาร) มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหมดนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา” (ยัง กิญจิ สมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ) ซึ่งเป็นธรรมในขั้นพระโสดาบัน
คำถาม
“... ตราบใดที่ยังเห็นว่า จิต (จิตดั้งเดิม) คือ ตัวเรา เป็นของ ๆ เรา ต้องช่วยให้จิตหลุดพ้น ตราบนั้นตัณหา หรือ สมุทัยก็จะสร้างภพของ "จิตว่าง" ขึ้นมาร่ำไป...”
ที่บอกว่าตัณหาจะสร้างภพของ "จิตว่าง" ขึ้นมาร่ำไป คืออย่างไรเจ้าคะ
หลวงตา : แม้ปฏิบัติมาจนถึงธรรมขั้นพระโสดาบันแล้ว แต่ถ้ายังหลงยึดถือจิตดั้งเดิม ซึ่งเป็นธาตุรู้ เป็นตัวเรา เป็นของ ๆ เรา จึงมีความพยายามช่วยจิตให้เป็นรู้ที่ไม่คิด หรือ เป็นรู้ที่ว่างเปล่า อย่างถาวรเป็นอมตะตลอดไป จึงเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นสมุทัย หรือ เป็นเหตุปัจจัยให้สร้างภพของ “จิตว่าง” เป็นเป้าหมายที่ตัวเราจะถึง จะได้ จะเป็น จะบรรลุไว้ในอนาคตโดยไม่รู้ตัว จึงหลงปรุงแต่งจิต มีความพยายามกระทำอะไร เพื่อจะให้สำเร็จตามเป้าหมายที่คาดหวังไว้ คือ จิตว่าง หรือ ผู้รู้ที่ว่างเปล่า ผู้รู้ที่ไม่คิด
***** ขณะจิตใด เกิดปัญญาวิมุตติ รู้แจ้งแก่ใจในปัจจุบันขณะว่า “จิตดั้งเดิม” ซึ่งเป็นธาตุรู้ เขาเป็นธรรมชาติที่รู้ขึ้นมาเอง เป็นของเป็นเอง ปรุงแต่งเอาไม่ได้ เขาเป็นธรรมชาติที่เป็นวิสังขาร อสังขตธาตุ อสังขตธรรม คือเป็นธรรมชาติไม่มีตัวตน ไม่มีจุด ต่อม ที่ตั้ง หรือสภาวะใด ๆ อันมีรูปลักษณ์หรือเครื่องหมายที่จะให้มีที่หมายได้
ไม่ใช่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่ความว่างที่เป็นอากาศ ไม่ใช่อรูปฌาน
เป็นธรรมชาติที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง จึงไม่เกิดดับ ไม่มีตัวตนของผู้รู้ ไม่อาจคิด ไม่อาจปรุงแต่ง ซึ่งเป็นคุณสมบัติตามธรรมชาติของเขาเอง (จึงไม่อาจใช้ความพยายามหยุดคิด หยุดปรุงแต่ง หรือ พยายามทำให้เป็นรู้โดยไม่คิดได้ เพราะอาการเหล่านี้ล้วนแต่เป็นความปรุงแต่งโดยมีเจตนา) ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการหยุดนิ่ง
***** เมื่อพบจิตหรือใจดั้งเดิม ซึ่งเป็นวิญญาณธาตุ หรือ ธาตุรู้ตามธรรมชาติ ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่เป็นตัวเรา เป็นของ ๆ เรา เรียกว่า “พบธรรม”
แต่ก็ยังไม่นิพพาน เพราะเมื่อพบจิตหรือใจดั้งเดิม ซึ่งเป็นธาตุรู้ที่รู้ขึ้นมาเอง โดยไม่คิด และไม่มีเจตนารู้ ซึ่งเป็นรู้ที่ว่างเปล่าจากตัวตน ว่างเปล่าจากความคิด ความปรุงแต่ง ก็เกิดอวิชชา ตัณหา อุปาทาน หลงยึดถืออยากให้เป็นอย่างนั้นตลอดไป
จึงหลงรักษาจิตให้เป็นรู้ที่ไม่คิด หรือจิตว่างจากความคิด ความปรุงแต่งไว้
จนกว่าจะมีผู้รู้ชี้แนะ หรือ เกิดธรรมขึ้นมาในใจ เป็นปัญญาวิมุตติ โพลงขึ้นที่ใจ ถึงขนาดทำให้ความหลงยึดถือจิตขาดสะบั้นลงในปัจจุบันทันที
เมื่อความหลงยึดถือจิตหรือใจดับลง (อวิชชาดับ) จิตดั้งเดิม ใจดั้งเดิม ธาตุรู้ดั้งเดิม หรือ วิญญาณธาตุดั้งเดิม จึงเป็นธาตุบริสุทธิ์ ซึ่งมีชื่อสมมติว่า “นิพพานธาตุ” หรือ “นิพพาน”
***** ดังนั้น จึงไม่มีตัวเรา หรือ จิตของเรานิพพาน แต่เป็นเพราะสิ้นความหลงยึดถือจิตหรือใจว่าเป็นเรา เป็นของ ๆ เรา จึงเป็นจิตบริสุทธิ์ หรือ ใจบริสุทธิ์ เรียกว่า “นิพพาน”
จึงมีคำกล่าวว่า “พบใจ พบธรรม ถึงใจ (บริสุทธิ์) ถึงนิพพาน”
~~~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 2 : กราบขอโอกาสถามเจ้าค่ะหลวงตา
ตรงนี้ที่ผู้ปฏิบัติพบ ถ้าไม่หลงยึดรักษา มีสติปัญญารู้ว่า แม้แต่ธรรมชาติรู้ก็ยึดไม่ได้ (ไม่รู้สึกมีตัวเราไปยึดจิตว่าง) ถึงจะเป็นใจที่บริสุทธิ์ใช่ไหมเจ้าคะ
ข้อความที่โยมอ้างถึงคำตอบองค์หลวงตาด้านบน มีดังนี้
“... แต่ก็ยังไม่นิพพาน เพราะเมื่อพบจิตหรือใจดั้งเดิม ซึ่งเป็นธาตุรู้ที่รู้ขึ้นมาเอง โดยไม่คิด และไม่มีเจตนารู้ ซึ่งเป็นรู้ที่ว่างเปล่าจากตัวตน ว่างเปล่าจากความคิด ความปรุงแต่ง ก็เกิดอวิชชา ตัณหา อุปาทาน หลงยึดถืออยากให้เป็นอย่างนั้นตลอดไป
จึงหลงรักษาจิตให้เป็นรู้ที่ไม่คิด หรือ จิตว่างจากความคิด ความปรุงแต่ง ไว้...”
หลวงตา : สาธุ! ถูกแล้ว ส่วนใหญ่ยึดอยู่ แต่ไม่รู้ตัว (อวิชชา)
โยม 2 : ใจมันรู้ของมันเอง ประมาณนั้นเจ้าค่ะ
หลวงตา : “ใจมันรู้ของมันเอง” นี่แหละเป็นจิตเดิมแท้ ที่รู้โดยไม่คิด
ถ้าไม่ยึดถือจิตเดิมแท้เป็นตัวเรา เป็นของ ๆ เรา จะเป็นจิตเดิมแท้บริสุทธิ์ เรียกว่า “นิพพาน”
โยม 2 : น้อมกราบ กราบ กราบ ขอบพระคุณอันสูงยิ่งในความเมตตาเจ้าค่ะ
เหมือนใจลึก ๆ มันพูดว่า บัดนี้พร้อมแล้ว จะตายก็ตายเจ้าค่ะ
ลูกศิษย์อยู่ไกลถึงสวีเดน แต่ด้วยเมตตาขององค์หลวงตาที่ส่งมาให้ ทำให้ดวงตาเห็น ธรรมเจ้าค่ะ ขอองค์หลวงตาเมตตารักษาธาตุขันธ์นะเจ้าคะ ศิษย์มีวาสนาจะไปกราบแทบเท้าเจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ
~~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 3 : จิตเดิมแท้ เค้ามีหน้าที่รู้อยู่แล้ว ถึงเราคิดหรือทำเป็นหยุดคิด ทำเป็นรู้โดยไม่คิด จิตเดิมแท้เค้าก็รู้เราตลอด
Key word จึงอยู่ที่... ในจิตเดิมแท้นั้น ไม่ได้มีเราเป็นตัวเป็นตนอยู่ ไม่ได้เป็นของเรา
เพราะความเป็นเรามันเป็นแค่ความคิด เมื่อไม่มีเราอยู่จริงก็ไม่มีใครที่จะไปยึดจิตเดิมแท้ได้ และเพราะจิตเดิมแท้คือความไม่มีอะไรเลย มันก็ไม่มีอะไรไปยึดมันได้
แต่เพราะความเข้าใจผิดเท่านั้นเจ้าค่ะ จึงมีความพยายามช่วยทั้งตัวเรา และจิตเดิมแท้ให้สะอาดบริสุทธิ์ ให้มันเป็นรู้เฉย ๆ รู้โดยไม่คิด ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วจิตนั้นก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสมบูรณ์ตลอดเวลาอยู่แล้วเจ้าค่ะ
ดังนั้น เมื่อรู้แล้ว เข้าใจแล้ว จึงไม่มีใคร... ต้องทำอะไร... เพื่อช่วยสิ่งใด... ให้เป็นอะไร มีแต่ธรรมชาติเจ้าค่ะ
ทุกสิ่งเป็นเพียงมายาที่หลอกกันมาหลายภพหลายชาติ
หลวงตา : สาธุ
~~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 4 : มีหลงไปพยายามเจ้าค่ะ จะให้ทุกอย่างลงแก่ใจ... อ้าว! ใจไม่มีตัวตน จะมีอะไรให้ลงได้ แต่มันเหมือน ๆ ว่าก็ไม่ได้มีเราพิจารณา แต่ทำไมข้างในมันทำของตลอด ๆ เลยเจ้าค่ะ และมันก็รู้ว่ามันมีการทำ แต่ทำอะไรมันไม่ได้เจ้าค่ะ
หลวงตา : “จิต” มันมีการกระทำตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจจะมีตัวเราไปพิจารณา
เนื่องจาก......
***** “จิตตสังขาร” มันเป็นธรรมชาติปรุงแต่ง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่ได้เป็นตัวเรา เป็นของ ๆ เรา มันจึงไม่อยู่ในบังคับของเรา
ดังนั้น จึงไม่สามารถจะไปบังคับให้จิตมันหยุดคิด หยุดปรุงแต่ง พยายามกระทำได้
คงปล่อยให้เขาเป็นธรรมชาติของสังขารที่เกิดเอง ดับเอง... เกิดเอง ดับเอง.......
ส่วน “จิตดั้งเดิม หรือ จิตเดิมแท้” ก็เป็นธาตุรู้ตามธรรมชาติ เป็นวิสังขาร เป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรม เป็นธรรมชาติรู้ขึ้นมาเองโดยไม่มีเจตนารู้ ว่างเปล่าจากตัวตน ว่างเปล่าจากความคิด ความปรุงแต่ง จึงไม่มีอะไรให้ยึดถือได้
ผู้หลงยึดถือจิตเดิมแท้ เป็นตัวเรา เป็นของ ๆ เรา ก็ไม่มีตัวตนอยู่จริง เป็นเพียงมายา หลอกลวงให้หลงว่ามีตัวตน เป็นตัวเรา เป็นของ ๆ เรา
เมื่อมีปัญญาวิมุตติรู้แจ้งขึ้นที่ใจในขณะจิตใด ว่าความเป็นตัวตน เป็นตัวเรา เป็นของ ๆ เรา ไม่ได้มีอยู่จริง ก็จะสิ้นตัวตนของผู้ยึดถือทั้งสังขาร และวิสังขาร (จิตเดิมแท้)
หลังจากนั้น สังขารก็คงทำหน้าที่ของสังขารอย่างอิสระ ไม่มีผู้ยึดถือหลงติดไปกับเขา หรือ ไปกดข่มบังคับเขา
จิตเดิมแท้ซึ่งเป็นธาตุรู้ที่ไม่ปรุงแต่ง ไม่มีตัวตนของผู้รู้ ก็จะรู้ขึ้นมาเองโดยไม่มีผู้ยึดถือ จึงเป็นจิต ใจ หรือ ธาตุรู้บริสุทธิ์ ซึ่งเรียกว่า “นิพพาน”
~~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 5 : กราบหลวงตาแทบเท้าหลวงตาคะ หลวงตากล่าวว่า...
“แล้วใครต้องมีสติ แล้วใครเป็นคนหลง มันมีตัวตนของคนหลงเหรอ แล้วมันมีตัวตนของคนมีสติเหรอ
มันจะต้องมีสติ เพื่อไม่ให้มันหลง แล้วไอ้ความหลง ความมีสติ มันเป็นอะไร มันเป็นสังขารทั้งนั้น ไม่ใช่เหรอ
ความไม่มีอะไร มันไม่มีทั้งหลง ทั้งสติ
ความไม่มีอะไร ไม่มีทั้งหลงด้วย ไม่มีทั้งสติด้วย
เพราะว่า ไอ้ที่หลงได้ ต้องเป็นสังขาร ไอ้ที่มีสติได้ ก็ต้องเป็นสังขาร
แล้วที่พยายามจะมีสติไว้ไม่ให้หลง... อะไรก็เป็นสังขารทั้งนั้น..!! ก็สังขาร ก็เกิดเองดับเอง ไม่มีใครทำอะไรกับมัน
สติปัญญา ก็สังขาร... ความเห็น ก็สังขาร... ความหลง ก็สังขาร... อะไรเป็นสังขารหมด
อะไรก็เป็นสังขารหมดเลย ยกเว้น ใจอย่างเดียว สังขารไม่ได้ ใจที่บริสุทธิ์ สังขารไม่ได้ หรือจิตบริสุทธิ์ สังขารไม่ได้ มีหนึ่งเดียวเท่านั้น “เอโกธัมโม”
ใจที่บริสุทธิ์ หรือ จิตที่บริสุทธิ์ “บริสุทธิ์” หมายถึงว่า แยกเอาอวิชชาออก สิ้นหลงแล้ว สิ้นอวิชชา แยกสิ่งที่ปลอมปนออก ใจก็เลยเป็นความบริสุทธิ์ที่ไม่สังขาร
แล้วยังไง... ก็ไม่เห็นต้องทำอะไร เพราะอะไรล่ะ เพราะใจมันก็ไม่สังขารมาโดยธรรมชาติอยู่แล้ว มันเป็นของมันมีมาอยู่แล้วในตัวของเรานี่
เลยไม่เห็นต้องทำอะไร แต่ไม่ทำอะไร ก็รู้อยู่แก่ใจว่า... เออ... มันเป็นใจที่ไม่สังขารแล้ว ไอ้ส่วนสังขารก็สังขารไป แต่ใจมันไม่สังขาร ก็แค่นั้นแหละ
ไม่ใช่รู้ต้องคอยตั้งรู้ หรือไปตั้งสติรู้ แต่มันรู้อยู่แก่ใจว่า... เออ... มันจะเป็นยังไงก็ตาม
ใจมันไม่สังขาร ใจมันเป็นธรรมชาติ ไม่สังขารมาแต่เดิมแล้ว ไม่ต้องไปพยายามจะไปรักษามัน ไม่ต้องพยายามจะไปยึดถือมัน ไม่ต้องไปพยายาม ก็มันเป็นใจเรามาตั้งแต่แรกของเรานี่แนะ พูดง่าย ๆ ก็เป็นเรามาแต่แรกนี่น่ะ เป็นใจเรามาแต่แรกดั้งเดิมเลย แล้วเราจะพยายามยึดถือมันทำไม
เมื่อใจไม่สังขารแล้วก็... เออ... สังขารก็สังขารไป แต่ไม่ใช่ว่าเอาตัวเราพยายามเอาตัวเราไปเป็นใจที่ไม่สังขารอีก เพราะไอ้ความเป็นตัวเรา มันเป็นสังขาร มันเป็นอวิชชา
เราปฏิบัติเพื่อดับอวิชชา เป็นจิตเดิมแท้ แต่เรากลับเอาตัวเราไปยึดใจที่ไม่สังขารอีก หลงพยายามจะทำอะไร หลงพยายามจะเอาอะไร หลงพยายามจะไปเป็นอะไร
ความรู้ก็อยู่ในใจ ที่ไม่สังขาร มันอยู่ในนั้นหมดแล้ว ความรู้ทั้งหมด ใจที่ไม่สังขาร”
....................................
คำสอนของหลวงตาเด็ดขาด *ชัดเจน**แจ่มแจ้ง* ตรงไปตรงมา ชาตินี้หนูโชคดีที่สุดที่ได้พบและฟังธรรมของหลวงตา
หลัง ๆ มานี้ ไม่มีคำพูดเลยค่ะ จะพิจารณาธรรม ใจก็ไม่ยอมพิจารณาอะไร อ่านธรรมเสร็จ ตอนอ่านก็ซึ้งใจในธรรมนั้น แล้วเสร็จก็จบหาย มันต่อไม่ถูกคะ
ก็เลยไม่รู้จะส่งอะไรให้หลวงตาคะ
กราบแทบเท้าหลวงตาคะ
(หมายเหตุ : โยมส่งภาพธรรมที่มีข้อความว่า... “สัพเพ สังขารา อะนิจจา สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่ตัวตน”)
หลวงตา : สาธุ
~~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 6 : กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะหลวงตา
นึกถึง vdo เมฆบังใจ เจ้าค่ะ
https://youtu.be/u0R-Rari36E
หลวงตา : ขณะจิตที่ “อวิชชา” คือ หลงยึดจิตดั้งเดิม หรือ จิตเดิมแท้ เป็นตัวเรา เป็นของ ๆ เราดับ สังขารกรรมและวิญญาณกรรมที่สร้างภพชาติให้เป็นทุกข์ในปฏิจจสมุปบาทก็ดับพร้อม เรียกว่า “สอุปาทิเสสนิพพาน” คือ นิพพานขณะที่ขันธ์ห้ายังไม่ตาย
ถึงแม้จะเป็นสอุปาทิเสสนิพพานแล้ว ต่อเมื่อขันธ์ห้ายังไม่ตาย ก็ต้องรับวิบากกรรมเก่าของขันธ์ห้า คือ ต้องแก่ เจ็บ ตาย
เมื่อขันธ์ห้าตายแล้ว จึงไม่มีตัวตนไปรับกรรมใหม่อีกต่อไป เพราะอวิชชา คือ หลงยึดจิตดั้งเดิม หรือ จิตเดิมแท้ เป็นตัวเรา เป็นของ ๆ เรา ดับไปตอนเป็นสอุปาทิเสสนิพพานแล้ว จึงสิ้นอวิชชาที่จะเป็นปัจจัยส่งผลให้เกิดสังขารกรรมและเกิดวิญญาณกรรมที่จะมีตัวเราไปรับกรรมใหม่อีกต่อไป
~~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 7 : สุดยอดแห่งธรรมอันละเอียด เพราะไม่เห็น "ตัวเรา" ที่แอบแฝงอยู่ในจิตเดิมแท้ ว่ามันไม่มีตัวตนอยู่จริง จึงดิ้นรน
“จิตเดิมแท้ก็ไม่มีตัวตน” เพราะแค่ไม่รู้ความจริงเช่นนี้ จึงเกิดภพชาติสืบต่อมาไม่สิ้นสุด... “ไม่มีตัวเราเป็นจิต ไม่มีจิตของเรา”
(กราบ)(กราบ)(กราบ)
~~~~~~~~~~~~~~~~
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
12 เมษายน 2563
แนะนำฟังไฟล์เสียงและวีดีโอที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเพื่อความถึงใจ
200327B-2 ไม่มีตัวเราในความไม่มีอะไร ตอนที่ 1
https://www.youtube.com/watch?v=HqPOtuRM4pg
200327B-3 ไม่มีตัวเราในความไม่มีอะไร ตอนที่ 2
https://www.youtube.com/watch?v=f0WUt182A8k
200408A พระอริยเจ้าทั้งหลายอยู่กับรู้
https://www.youtube.com/watch?v=JaMUq7GjMfI
200409A1-1 คืนสู่ธาตุธรรมชาติที่ไม่มีผู้ยึด (1)
https://www.youtube.com/watch?v=8KYJCr5p3yI
200409A1-2 คืนสู่ธาตุธรรมชาติที่ไม่มีผู้ยึด (2)
https://www.youtube.com/watch?v=ambnSA4FnwY
วีดีโอเรื่อง เมฆบังใจ
https://www.youtube.com/watch?v=u0R-Rari36E
~~~~~~~~~~~~~~~
แนะนำอ่านโอวาทธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์ เกี่ยวกับเรื่องอวิชชาในจิตเดิมแท้ และเรื่องที่เกี่ยวข้องเพื่อความเข้าใจอันลึกซึ้งเพิ่มเติม
(1) โอวาทธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาเรื่อง "ขันธ์ 5 ต่างหากจากจิต"
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ 26 กันยายน พุทธศักราช 2521
เรื่อง “เหตุเบื้องต้นก็คือพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้รู้เห็นธรรม บรรลุอริยธรรมขั้นต้นคือพระโสดาบัน...”
ที่มา : http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=9185
อ่านจากหน้าไทม์ไลน์ : https://bit.ly/2XJvss3
(2) โอวาทธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาเรื่อง "อวิชชารวมตัว ปกปิดจิตแท้-ธรรมแท้"
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๐๙
เรื่อง “อวิชชานี้เองที่ปกปิดจิตแท้ธรรมแท้เรื่อยมา...”
ที่มา : http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1675&CatID=3
อ่านจากหน้าไทม์ไลน์ : https://bit.ly/3eiHoGK
(3) โอวาทธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๖
เรื่อง “ค้นหาความจริง ต่อสู้กับความจอมปลอม ต่อสู้ด้วยสติต่อสู้ด้วยปัญญา...”
ที่มา : FB รักษาปฏิปทาพระธุดงค์กรรมฐานมหาสมัย (โพสต์โดย : แสง เทียน)
https://www.facebook.com/groups/561755124169170/permalink/1158914671119876/
(4) โอวาทธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เรื่อง "จิตผ่องใส กับจิตบริสุทธิ์"
ที่มา : http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=805&CatID=2
อ่านจากหน้าไทม์ไลน์ : https://bit.ly/3cdMXV3
(5) โอวาทธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงปู่แบน ธนากโร
เรื่อง “จิตสักแต่ว่าจิต”
ที่มา : FB พุทธมหาเจดีย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ภูผาแดง
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2992844714094465&id=539401609438800
~~~~~~~~~~~~~~~