สังขารทั้งหมดทุกปัจจุบันขณะ เกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วก็ดับกลับคืนไปสู่ความไม่มีอะไร มันไม่มีตัวเราในสังขาร ไม่มีตัวเราในความไม่มีอะไร
สำคัญที่สุดตรงนี้!!! คือ...
มันไม่มีตัวตนของเรา "ในสังขาร"
มันไม่มีตัวตนของเรา "ในความไม่มีอะไร"
มันก็เลยมีแต่สังขารเกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วก็ดับกลับคืนไปสู่ความไม่มีอะไร พอมีผู้ไปพยายามกระทำ ไปพยายามจ้อง พยายามจะไปหาความเข้าใจ เสี้ยววินาทีเดียว... มันก็เป็นสังขารแล้ว!!
จากไม่มีอะไรแล้วก็มีสังขารขึ้นมา แต่สังขารอะไรขึ้นมาก็ตาม มันเป็นสังขารขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วก็ดับกลับคืนไปสู่ความไม่มีอะไร ไม่มีใครต้องไปทำอะไรกับมัน มันเป็นสิ่งที่เกิดเอง... ดับเอง... เกิดเอง... ดับเอง...
ไม่มีใครได้ ไม่มีใครเป็นอะไร เพราะมันไม่มีตัวเราอยู่ในสังขาร และไม่มีตัวเราอยู่ในความไม่มีอะไร
"ความไม่มีอะไร" ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าความไม่มีอะไร มันจะมีตัวเราได้ยังไง ถ้ามีตัวเรามันก็ไม่ใช่ความไม่มีอะไร
แล้วไม่ใช่ว่าจะพยายามเอาตัวเราไปถึงความไม่มีอะไร ไม่มีแม้แต่... "ตัวเรา" แต่เราก็ยังพยายามจะเอาตัวเราไปเป็นความไม่มีอะไร นี่มันผิดตั้งแต่แรกแล้ว
เราเอาตัวเราไปจ้องดู... ให้มันว่าง ขึงไว้ให้มันเป็นความไม่มีอะไร ให้มันยาวเป็นพื้น แล้วก็เอาตัวเราไปเป็นความไม่มีอะไร ไปยืนอยู่ในฝั่งความไม่มีอะไร แล้วก็มองสังขารเกิดดับ
มันไม่ได้เห็นว่ามัน "เริ่มต้นมาจากความไม่มีอะไร" แล้วก็มี "ตัวเรา" ที่จะไปมองดูสังขาร
มันต้องเริ่มจากไม่มีตัวตนของเรา ไม่มีอะไรเลย แล้วก็มีตัวเราที่พยายามจะดูอะไรขึ้นมา พยายามจะมองสังขาร "มีตัวเราจะไปดูสังขาร" จงใจ ตั้งใจ เจตนา พยายาม ที่จะเข้าไปดูสังขาร หรือแม้แต่มีอาการง่วง... เราง่วง ทำยังไงเราถึงจะไม่ง่วง? มันก็เป็นความมีขึ้นมาจากความไม่มีอะไร
ก็ไม่ได้ทำอะไรนะก็อยู่อย่างนี้ สิ่งที่เกิดดับก็เกิดดับของมันไป ไม่มีใครไปทำอะไรกับมันเลย ไม่มีใครไปอะไร ๆ กับสิ่งที่มันเกิดดับเลย
สังขารที่เกิดดับในปัจจุบันขณะ มันจะเป็นยังไงก็ไม่มีใครไปอะไร ๆ กับมัน มันก็เกิดเอง... ดับเอง... เกิดเอง... ดับเอง ในความไม่มีอะไร แล้วในความไม่มีอะไร มันก็ไม่มีเราจะไปเอาความไม่มีอะไร
เราจะพยายามไปให้ถึงความไม่มีอะไร เราจะพยายามไปจับจองพื้นที่ตรงความไม่มีอะไรไปแทรกไว้ เพื่อกันไม่ให้สังขารมันเข้ามา เราไม่ได้ทำแบบนั้น เพราะว่า ความรู้สึกว่าเป็นเรา มันเป็น "สังขาร"
ความรู้สึกเป็นเรา ที่พยายามจะเข้าไปทำอะไรเนี่ย มันเป็นสังขาร เมื่อเราเหมาเข่งให้ตัวเราไปเป็นสังขารซะ มันก็เลยไม่มีตัวเราไปอยู่ฝั่งที่ไม่มีอะไร แล้วก็มองสังขารเกิดดับ หรือมันไม่มีตัวเรา จะไปเป็นความไม่เกิดดับ ไปเป็นความไม่มีอะไร
เพราะว่าความคิดความรู้สึกเป็นตัวเรา มันเป็นสังขาร จึงไม่มีว่าเอาตัวเราไปตั้ง แล้วก็ทำไมตัวเราจึงปล่อยวางไม่ได้ซะที? ทำไมตัวเราถึงรู้ละปล่อยวางการพยายาม ที่จะกระทำไม่ได้ซะที? เราก็หงุดหงิด ฮึดฮัด ๆ
ถ้าเราปล่อยวางได้ เราจะนิพพาน หรือถ้าเราทำลายสังขารได้หมด เราจะถึงความว่าง เราจะนิพพาน
อย่างนี้มันไม่มีอยู่ในใจหลวงตาเลย เพราะความเป็นเราตัวเรา ที่จะไปถึงไปได้ไปเป็น "มันเป็นสังขาร" มันเป็นสังขารเกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วมันก็ดับไปสู่ความไม่มีอะไร ใจมันก็มีแต่ "ความไม่มีอะไร" อยู่นั่นแหละ เป็นพื้น ใจมันไม่มีตัวจิตตัวใจ มันไม่มีตัวเราหรอก
ไม่ใช่ว่าเอาตัวเราไปจับจองพื้นที่ว่าง เป็นพื้นไว้ ใจมันเป็นใจเราอยู่แล้ว แล้วเราจะต้องไปยึดมันทำไม? ก็ใจมันอยู่ในร่างเราตั้งแต่แรกแล้ว แต่เราจะไปยึดมันอีกว่าเราจะต้องยึดมันให้ได้
ก็มันอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว ทุกภพทุกชาติมา มันอยู่มากับเราตั้งแต่จิตดวงแรก ไม่ว่าเราจะเกิดเป็นอะไรนะ เกิด "จิต" ขึ้นมามันก็มี "ความไม่มีอะไร" เกิดขึ้นมากับจิตดวงแรกเลย แต่เราไม่รู้เท่านั้นเอง
มันจึงเป็น "อวิชชา" ตั้งแต่แรกเกิดเลย คือตั้งแต่มีดวงจิตวิญญาณขึ้นมาในจักรวาลนี้ พร้อมกับ "ความยึดถือ" ติดมาเลย เป็นอวิชชา มันไม่รู้ไงมันเลยยึดถือ มาตั้งแต่ดั้งเดิมโน่นเลย
แต่ "ใจ" หรือ "จิตเดิมแท้" มันมีอยู่แล้วในตัวเรา มันมาคู่กับวิญญาณเลย มาตั้งแต่ที่มาเกิดเลย งั้นความมีจิต กับความไม่มีอะไร มันอยู่คู่กันมาตั้งแต่แรกเริ่มเลย เป็นของที่คู่กันมาตั้งแต่แรก ไม่มีใครเป็นเจ้าของจิต แล้วไม่มีใครเป็นเจ้าของความไม่มีอะไร เพราะฉะนั้น "อวิชชา" คือความมี... มันเป็นของคู่มากับ "ความไม่มีอะไร" ซึ่งเป็นจิตที่บริสุทธิ์
เพราะฉะนั้นอวิชชาเป็น "ความไม่บริสุทธิ์" แต่มันเกิดมาพร้อมกับ "ความบริสุทธิ์" มันคู่กันมา พอมันเกิดจิตมาปุ๊บมันมีความบริสุทธิ์อยู่ในนั้น กับความไม่บริสุทธิ์นั้น คือ "อวิชชา" ผสมกันมาเลย
เรายกตัวอย่างบ่อยที่บอกว่าเมื่อมีกำเนิดโลกปุ๊บ! ก็มีทองคำอยู่ใต้โลกนี้ มีสายแร่ทองคำอยู่ใต้โลกนี้ สายแร่ทองคำเนี่ย มันเป็นสายแร่ทองคำที่บริสุทธิ์ แต่มันมีแร่ธาตุอื่นไปปนมัน ทำให้ไม่บริสุทธิ์ แต่ความจริงมันก็เป็นแร่ทองคำ ที่เป็นทองคำแท้ตามธรรมชาติ
มันเป็นทองคำแท้ตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องไปทำมัน ไม่ใช่ว่า "ไปทำทองคำให้มันแท้" เพียงแต่ว่าเอา "อวิชชา" คือความปลอมปนที่อยู่กับทองคำแท้ ถลุงมันออกไปด้วย "สติปัญญา" ทองคำแท้มันก็เลยกลายเป็นทองคำแท้บริสุทธิ์ ไม่ใช่ว่าไปทำทองคำแท้ขึ้นมาใหม่
เพราะฉะนั้นเมื่อมีทองคำเกิดขึ้นมาในโลกนี้ ทองคำแท้ เปรียบเหมือนจิตบริสุทธิ์ บวกกับ "อวิชชา" คือสิ่งที่ปลอมปนอยู่ในทองคำแท้ ไม่ใช่ว่าไปทำทองคำแท้ขึ้นมาใหม่ เพียงแต่ว่า อวิชชาคือความคิด ความรู้สึกเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา เป็นจิตของเรา เป็นใจของเรา มันคือสิ่งที่ปลอมปนมาในความบริสุทธิ์
อะไรรู้เล่า? ก็ใจนั่นแหละมารู้เอง "ความบริสุทธิ์มันรู้เท่าทันความปลอมปนเอง" คือ มันก็อาศัยสติปัญญาที่เป็นขันธ์ห้านี่แหละ ที่เราเล่าเรียนเขียนอ่าน ฟังมา ฟังหลวงตามาบ่อย ๆ
สติอยู่ที่ไหน... ความรู้อยู่ที่นั่น
ความรู้อยู่ที่ไหน... สติอยู่ที่นั่น
สติกับความรู้... มันอยู่ด้วยกัน
เมื่อมี "สติกำกับใจ" ใจมันก็เลยรู้ว่ามีอะไรปลอมปนมา
ก็คือความคิด ความรู้สึกว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา มันปลอมปนมาอยู่ในความบริสุทธิ์ คือ จิตบริสุทธิ์ ธาตุรู้บริสุทธิ์ หรือใจบริสุทธิ์
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
200327B-2 ไม่มีตัวเราในความไม่มีอะไร ตอนที่ 1
27 มีนาคม 2563
ฟังจากยูทูป :
https://youtu.be/HqPOtuRM4pg
~~~~~~~~~~~~~~~