จิตบริสุทธิ์ ธาตุรู้บริสุทธิ์ หรือ ใจบริสุทธิ์
มันกระดุกกระดิกไม่ได้
ที่กระดุกกระดิกได้ ที่เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา มันเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน แล้วเราก็ไปยึดตัวนี้มานานหลายภพหลายชาติ
ส่วนที่เป็น "ความบริสุทธิ์" มันกระดุกกระดิกไม่ได้ ไม่ปรากฏอะไรเลย มันปนผสมกันมาตั้งแต่มีจิตเลย
แล้วเราจะพยายาม ไปยึดเอาตัวเรา ไปเป็นความบริสุทธิ์ได้ยังไง เพราะว่า "ความมีตัวเราในความบริสุทธิ์" มันเป็น "อวิชชา" ที่ปลอมปนมาอยู่กับความบริสุทธิ์
ถ้าเรายังจะพยายามเอาตัวเรา ไปยึดเป็นความบริสุทธิ์ ไปยึดจิตบริสุทธิ์ ให้เราไปเป็นใจที่บริสุทธิ์ ไปเป็นความว่าง... เป็นใจนิพพาน ถ้าเราทำแบบนี้ มันก็กลับคืนไปสู่ความไม่บริสุทธิ์อยู่ดี เพราะว่าเรามาพร้อมกับความมีเรา มีตัวเรา มีตัวตนของเรา ว่า... จิตมันเป็นของเรา
ตั้งแต่เกิดจิต ปุ๊บ! ก็ยึดเป็นเราเลย พอมาปฏิบัติอีกก็จะกลับไปยึดแบบเดิมอีก คือมีตัวเราจะไปยึดความบริสุทธิ์อีก พอมี "ตัวเรา" มันก็กลับไปมีอวิชชาอยู่ในความบริสุทธิ์ ผสมกันไปอีก มันเลยกลายเป็นจิตไม่บริสุทธิ์ หรือธาตุรู้ไม่บริสุทธิ์ เพราะมี "ความเป็นเรา"
ตัวนี้มันมาตั้งแต่จิตแรกแล้ว ที่กำเนิดจิตมา แล้วมีอวิชชาปนมาในความบริสุทธิ์ คือมีเราไปยึดมัน ไปยึดจิตที่มาแรก ๆ แล้วเราปฏิบัติ ยังโง่กลับไปอย่างเดิมอีก กลับไปยึดมันอีก จะเอาความบริสุทธิ์ มาเป็นของเราให้ได้ จะเอาเราไปเป็นความบริสุทธิ์ จะเอาเราไปเป็น "จิตนิพพาน" เป็นใจที่บริสุทธ์ ที่เป็นนิพพาน
มันจะเอาเราไปเป็นนิพพานอีก "เรา" ที่ไปอยู่ในความบริสุทธิ์ มันเลยทำให้ไม่บริสุทธิ์ จึงทำให้ธาตุรู้มันไม่บริสุทธิ์
มันเหมือนทองคำ ความเป็นเราพอไปใส่ผสมอยู่ในทองคำแท้ มันเลยไม่แท้ มันไม่แท้เพราะความเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของ ๆ เรา มันอยู่ในทองคำแท้ ที่มันแท้ แท้โดยธรรมชาติ ไม่ใช่ว่าไปทำให้มันแท้ขึ้นมา มันแท้ขึ้นมาเพราะว่า... มันเอาความเป็นเราออกไป ทองคำมันเลยแท้
จิตที่บริสุทธิ์เหมือนทองคำ ไม่ใช่ไปทำให้มันบริสุทธิ์ คือเอาความเป็นเราที่จะไปเป็นเจ้าของมันออกไปแค่นั้นแหละ มันก็กลายเป็นทองที่เป็นจิตแท้เหมือนทองคำแท้ เรียกว่า... "นิพพาน"
แต่เราก็จะไปยึดถือ สิ่งที่มันอยู่กับเราตั้งแต่จิตแรกเลย ความบริสุทธิ์ความที่มันไม่มีตัวเรา มันมากับความมีตัวเรามาตั้งแต่กำเนิดจิตมาเลย
มันเป็นเรานี่แหละ ถ้าพูดตรง ๆ มันก็คือเรานี่แหละ ความบริสุทธิ์กับความไม่บริสุทธิ์น่ะ แต่เราเนี่ยไปยึดมันพอเราเห็นว่า อ้าว... นี่เราไปยึดมัน...แค่นั้นแหละ!! ในภพชาติใด ความเป็นเรา เลยขาดจากมัน มันก็เลยบริสุทธิ์
มันอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว แต่เราจะยึดมันให้ได้ เราจะเอาตัวเราไปเป็นให้ได้ เอาตัวเราไปหามันให้ได้ พอมีตัวเราไปปน ปุ๊บ! ความโง่มาเลย!!! แล้วโง่มาตั้งแต่ชาติแรก กำเนิดจิตดวงแรกโน่น
เราปฏิบัติก็เพื่อกลับไปสู่ "ความไม่มีอะไร" แล้วความมีอะไร คือ ความมีเรา มีตัวเรา มีตัวตนของเรา ที่ไปยึดความไม่มีอะไร พอสิ้น "ความมี" มันก็กลับคืนไปสู่ "ความไม่มี"
เพราะว่าทุกสรรพสิ่งล้วนมาจากความไม่มี มันกำเนิดมาจากความไม่มี...ไม่มีสิ่งนั้นมาแต่แรก... แล้วมีขึ้นมา พอได้ชื่อว่ามีขึ้นมา ปุ๊บ! มันเลยตกอยู่ใต้กฏ "อนิจจัง... ทุกขัง... อนัตตา... " เพราะสิ่งใดมีขึ้นมาเรียกว่า "สังขาร" มันเลยถูกธรรมชาติบังคับ ให้กลับคืนไปสู่ความไม่มีมันดังเดิม
มันจึงเป็นสภาพที่เป็นทุกข์ ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ เมื่อเราเห็นสัจธรรมความจริงนี้ ใจมันก็เป็นธรรมชาติที่ว่างเปล่าจากตัวตน ว่างเปล่าจากใครยึดมั่นถือมั่นมัน มันเป็นของมันอยู่แล้วในตัวเรา มันมีของมันอยู่แล้ว เราจะไปหามันทำไม ไปยึดมันทำไม จะไปเอามันทำไม จะพยายามไปปรุงแต่งเอามาเป็นของเราทำไม ก็มันเป็น "ใจ" เรานี่เอง
แล้วเราจะอยากได้นิพพาน... กูอยากได้นิพพาน... กูอยากได้นิพพาน... กูอยากได้ใจบริสุทธิ์... ก็มันมีอยู่แล้วในตัวเรา แล้วเราจะไปเอามันที่ไหน เราจะไปหามันที่ไหน กูอยากได้นิพพาน... กูอยากได้นิพพาน... ก็มันใจเรา จะไปหาอะไรที่ไหน
ถ้าพูดได้เขาก็จะด่าว่า... มึงนี่โง่จริง ๆ คือ "อวิชชา" จริง ๆ เลย ก็ใจมึงแท้ ๆ มึงยังจะอยากได้นิพพาน ๆ กูอยากได้นิพพาน ๆ ก็ใจมึงเองนั่นแหละ แล้วมึงจะไปเอาอะไรที่ไหน จะไปหาที่ไหน
มันก็เป็นใจเรานั่นแหละ แต่เรากลับจะไปยึดมันให้มันบริสุทธิ์ เราไม่เข้าใจตรงนี้
มันก็เลยไม่ต้องทำอะไร อยู่ในปัจจุบันขณะเนี่ย ความเกิดดับ มันก็เกิดดับคู่กับความไม่เกิดดับ มันคู่กันมาตั้งแต่จิตแรกนะ!!
ถ้าเราเข้าใจตรงนี้อวิชชาดับ ปุ๊บ! มันเลยเหลือแต่ความไม่เกิดดับ พอขันธ์ห้าตาย ขันธ์ห้าแตกดับ ความยึดถือ "อวิชชา" มันดับไป แล้วเหลือแต่ขันธ์ห้าทำงานคู่กับใจที่ไม่เกิดดับ
เพราะอวิชชามันดับไปก่อนที่จะตายแล้ว เป็น "สอุปาทิเสสนิพพาน" พอขันธ์ห้าดับมันเลยเป็น "อนุปาทิเสสนิพพาน" คือดับเศษของกรรมที่เหลือ คือ... ขันธ์ห้า แต่อวิชชาที่ปนอยู่ในจิตเดิมแท้ มันดับไปก่อนแล้ว เป็น "สอุปาทิเสสนิพพาน" แล้ว
แต่พอตายแล้ว ขันธ์ห้าดับปุ๊บ มันก็เลยดับที่เป็นเศษของกรรมที่เหลือ คือขันธ์ห้าที่ต้องรับกรรมที่เหลือ คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความทุกข์ทรมาน ที่เป็นเศษของกรรมที่เหลือ แต่อวิชชาในใจมันดับไปแล้ว มันเลยเป็น "อนุปาทิเสสนิพพาน" คือดับเศษของกรรมที่เหลือ เศษของความทุกข์ที่เหลือ
มันก็เลยเหลือแต่... "ใจบริสุทธิ์"
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
200327B-2 ไม่มีตัวเราในความไม่มีอะไร ตอนที่ 1
27 มีนาคม 2563
ฟังจากยูทูป :
https://youtu.be/HqPOtuRM4pg
~~~~~~~~~~~~~~~