หลวงตา : อาการป่วยที่บอกมาทั้งหมดนั้น เกิดจากหลงยึดถือว่ามีเราเป็นตัวตน หรือ มีตัวตนของเราอยู่ในขันธ์ห้า หรือ ยึดถือถือร่างกาย หรือ ยึดถืออาการของจิตใจ เช่น อาการโปร่ง โล่ง เบา สบาย ว่างเปล่า หรือ อาการที่ไม่สบาย ว่าเราเป็น หรือ เป็นของเรา จึงมีตัวเราแช่ติดกับอาการหรืออารมณ์
จะหายขาดได้ เมื่อ “พบผู้รู้ ปล่อยวางผู้รู้” หรือ ธรรมชาติของธาตุรู้เขาสักแต่ว่ารู้เรา
แต่นี่..... เราเอาเรารู้เรา แล้วยึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเรา จึงแช่อาการหรืออารมณ์สนิท
โยม : “อาการของจิตใจ เช่น อาการโปร่ง โล่ง เบา สบาย ว่างเปล่า” ของหนูชัดมากๆค่ะ
ตรงนี้เลยค่ะหลวงตา มีเจออยู่ค่ะ แต่ไม่นานเหมือนเมื่อก่อนค่ะ มันจะเกิดหลังจากพอมีอะไรเกิดขึ้น วิญญาณขันธ์ พอรู้ปุ๊บ มันกลับมาเป็น โปร่ง โล่ง เบา คราวนี้ต้องรู้ว่า มันเป็นแค่สภาวะเหมือนกันค่ะ เร็วขึ้นค่ะหลวงตา
หลวงตา : มันยังไม่เห็นว่า.... หลงยึดถือมีตัวหนูเป็นตัวตนอยู่ในใจ
โยม : ???????? มันแฝงอยู่เหรอคะ? หลงยึดถือมีตัวหนู เป็นตัวตนอยู่ในใจ... สำคัญมากนะคะ... ต้องขอเคลียร์ค่ะ
อ๋อ ปล่อยที่ ใจ ที่ไม่ใช่ เรา ลงทีเดียวเลยไหมคะ
คือ ผู้รู้ ใจ ก็ไม่ใช่ ไหมคะ
วิญญาณธาตุ ได้แต่รู้วิญญาณขันธ์ เหมือนกับตอนนี้ที่วิญญาณธาตุรู้ว่า กำลังพยายามนึกคิด (สังขาร)
หลวงตา: ความรู้สึกว่ามีตัวหนูอยู่ในใจนั้น แท้จริงเป็นเพียง “สังขาร” ที่เกิดจากอวิชชา ที่ยึดถือจิตเดิมแท้ หรือ ใจ (ธาตุรู้บริสุทธิ์) ว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา จึงเข้าสู่วงจรปฏิจจสมุปบาท เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงทำให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยจึงทำให้เกิดวิญญาณ (ปฏิสนธิวิญญาณ) ......
เมื่อหลงยึดถือธาตุรู้ จิต ใจ หรือ ปฎิสนธิวิญญาณ ว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของ คือ มีตัวเรามาเกิดรวมเป็นขันธ์ห้า เมื่อเกิดก็ยึดขันธ์ห้าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นของเรา แล้วหลงมีตัวเราไปยึดถือคนอื่น ๆ มาเป็นของเรา จึงวนเวียนอยู่ในทุกข์ เพราะกลัวว่าคนที่เรารักจะตายจากไป หรือ กลัวว่าตัวเราจะตายจากไป แล้วก็หลงยึดถือว่าเมื่อตายแล้ว จะมีตัวตนของเราออกจากร่าง
จึงยึดถือให้เป็นทุกข์ซ้ำซ้อนต่อไปกันไปเรื่อย ๆ ๆ .....
ต้องดับสวิตช์ใหญ่ที่ “อวิชชา” คือ ความหลงยึดถือว่ามีเรา มีตัวเรา มีตัวตนของเรา
เมื่ออวิชชาดับ สังขารก็ดับ วิญญาณก็ดับ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ และ ความทุกข์ทั้งมวลก็ดับพร้อม
โยม : ธาตุรู้ = เป็นได้แค่รู้
“...ต้องดับสวิตช์ใหญ่ที่”อวิชชา” คือ ความหลงยึดถือว่ามีเรา มีตัวเรา มีตัวตนของเรา
เมื่ออวิชชาดับ สังขารก็ดับ วิญญาณก็ดับ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ และ ความทุกข์ทั้งมวลก็ดับพร้อม”
จึงต้องพิจารณาให้เห็นว่า กาย ใจ จริง ๆ ไม่ใช่เราเป็นกระบวนการในธรรมชาติไปเรื่อย ๆ จนใจยอมรับและถอดถอนไปเองใช่ไหมคะ
เหมือนเส้นผมบังภูเขา กับ ฝุ่นเข้าตา อยู่ค่ะ
หลวงตา : ดับความหลง (อวิชชา) ที่ติดมากับธาตุรู้ โดยหลงยึดถือว่า จิต ใจ วิญญาณ หรือ ธาตุรู้ ที่มาเกิด เป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา มีตัวเรามาเกิด และ มีตัวเราออกจากร่างไป
เมื่อไม่มีอวิชชาไปหลงยึดถือธาตุรู้ ว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัว เป็นของเรา
ก็จะเหลือแต่ความรู้บริสุทธิ์ (นิพพาน) ที่สักแต่ว่ารู้... ไม่ยึดทุกปัจจุบันขณะ
จิต ใจ วิญญาณ หรือ ธาตุรู้ ก็เป็นธรรมธาตุ นิพพานธาตุ เป็นธาตุธรรมชาติ ซึ่งเป็นสาธารณะ เหมือนธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ ไม่มีเจ้าของ ไม่ได้เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
จึงไม่ต้องปล่อยวาง เพราะไม่มีตัวเราไปยึดถือขันธ์ห้า และไม่มีตัวเราไปยึดถือคนอื่น สิ่งอื่นอีก
สิ้นอวิชชา คือ หลงว่ามีตัวตนของเราในธาตุรู้ ใจก็เป็นความรู้ที่ว่างเปล่า เหมือนดั่งอวกาศ ที่ไม่มีตัวตน ไม่มีขอบเขตตลอดกาล
โยม : เข้าใจนะคะ เหมือนที่หนูอธิบายหลวงตาไปว่า ปัญญาในการรู้แจ้ง (ธาตุรู้) ที่เกิดเองแต่ละขณะ ไม่ใช่เรา เขารู้ของเขาเอง
หลวงตา : ปล่อยวางผู้มีปัญญารู้แจ้ง ด้วย
โยม : อ๋อ ค่ะ ทุกอย่างที่รู้ทั้งหมดตอนนี้ไม่ใช่หนูเลยค่ะ วูบค่ะ WoW
หลวงตา : ไม่เหลืออะไร ไม่มีผู้ยึดถืออะไร... ใจว่างเปล่า... ไม่มีผู้ยึดถือใจว่างเปล่า... ใจว่างเปล่าโดยปราศจากผู้ยึดถือ
โยม : โล่งหัวค่ะ WoW วับเดียว... แบบนี้ก็ได้เหรอคะ
หลวงตา : “สัพเพ ธัมมานาลัง อภินิเวสายะ” แม้ธรรมก็ไม่อาจยึดมั่นถือมั่น
โยม : สาธุ สาธุ สาธุ อยากกระโดดจากจอไปหาหลวงตาค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
20 มีนาคม 2563
~~~~~~~~~~~~~~~