หลวงตา : มีคนถามหลวงปู่ทาว่า "อยู่กับรู้" รู้เนี่ยมันรู้ลึก รู้กว้าง หรือมันแคบ หรือรู้ตื้น หรือรู้ละเอียด รู้หยาบ รู้อะไร? รู้ไปหมดนั่นแหละ จบ!
รู้ลึก รู้กว้าง รู้แคบ รู้ตื้น... รู้ไปหมดนั่นแหละ ไม่งั้นจะถามอีกรู้ไปหมดรู้อะไรบ้าง คนมันจะถามมันก็อย่างนี้มันก็ไม่จบ ที่มันถามเพราะมันยังไปไม่ถึง ถ้าถึงแล้วไปถึงเหมือนกันหมดแล้วไม่ถามหรอกว่า "พุทธธรรมสถานปัญจคีรี" ไปถึงแล้วรู้อะไรบ้าง รู้จักก็แล้วกันแค่นั้นแหละ หรือจะพาไปมั้ยล่ะจะบอกทางให้ เคยไปมาแล้วเดี๋ยวจะบอกทางให้
เราบอกได้เลยเพราะเคยไปมาแล้ว แล้วไม่ต้องถามว่ารู้อะไรบ้างในปัญจคีรี ฯ รู้ยังไง รู้ตรงไหน หรือว่ารู้โน่นรู้นี่รู้นั่น มันไม่ถามรายละเอียดแล้ว
โยม 2 : ถึงแล้วก็รู้เอง
หลวงตา : เออ... ถึงแล้วก็รู้เอง ไม่เห็นเธอต้องมาถามกันเลยว่า มันรู้ยังไง รู้แยกแยะยังไง นั่นน่ะคือ “ธาตุรู้” ถึงแล้วรู้เองน่ะธาตุรู้
ถ้ายังไม่ถึงถามกันให้ตายหรอก มันถามยังไงมันก็เป็นสังขารหมด เพราะว่าคนมันไม่รู้ไง ถ้ารู้แล้วไม่ต้องถามถึงเหมือนกัน รู้เหมือนกันแล้วไม่ต้องถาม ถึงธาตุรู้แล้ว แต่ถ้ายังไม่ถึงธาตุรู้นี่มันถามแหลกแหละ มันสังขารทั้งนั้นแหละ เพราะว่ามันไม่รู้ไงมันได้แต่มโนเอา ถึงอธิบายยังไงมันก็อยู่ในมโน อย่างนี้หรือเปล่า ๆ ๆ แต่พูดยังไงมันก็ยังไม่รู้จัก พุทธธรรมสถานปัญจคีรี
แต่ถ้าต่างคนมาแล้วไม่ถามกันเลย ไม่มีใครถามเพราะมันรู้แล้ว ที่ถามทั้งหมดไม่ใช่
นี่มันรวมขันธ์ห้ามั้ย? มันทำงานแยกอิสระจากขันธ์ห้ามั้ย? มันรู้ยังไง? ที่ถามมาทั้งหมดยังไม่ใช่ ที่ใช่แล้วไม่ถาม คือรู้ก็แล้วกันน่ะ ไม่ยึดแล้วจบแค่เนี้ย
ถามเท่าไหร่ก็ไม่รู้หยุดถามจึงรู้ จะถามให้รู้มันไม่รู้หรอก
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 1 : แต่บางอย่างก็ต้องขอความรู้น่ะครับ อย่างเรื่องวิญญาณขันธ์ อย่างเรื่องวิญญาณธาตุเนี่ย เพราะมันเป็นรายละเอียด
หลวงตา : ก็ต้องอธิบายเพื่อให้สิ้นสงสัย ถ้าเราไม่สิ้นสงสัยเราก็จะต้องปฏิบัติด้วยความสงสัย มันก็จะไม่ถึงซึ่งความสิ้นยึด พอเราเข้าใจแล้ว เข้าใจ ๆ ๆ ไม่มีอะไรสงสัย ต่อไปเราก็ปฏิบัติก็ อ่อ…. มันทำงานกันอย่างนี้ กระบวนการทำงานมันเป็นอย่างนี้เหรอ ตัวตนไม่มีหรอก มีแต่กระบวนการทำงานแล้วก็ดับไปแค่นั้นเอง
ความไม่ยึดก็เพราะว่ามันรู้จักกระบวนการทำงานนั้น ว่า"ตัวตนไม่มีหรอก" มีแต่กระบวนการทำงานของธาตุขันธ์ ในที่สุดธาตุขันธ์ก็แตกดับไป มีแต่กระบวนการทำงาน... ตัวตนไม่มี
แม้แต่ความคิดความรู้สึกว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา ก็เป็นกระบวนการทำงานของธาตุขันธ์ พอสิ้นดับไปแค่นั้น ก็ไม่มีอะไร
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 4 : นั่นหมายความว่าที่หลวงตาให้พิจารณากาย หรือพิจารณาจิต จริง ๆ แล้วก็คือว่าเป็น "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา " นั่นก็คือพิจารณาเพื่อให้เห็นว่ามันไม่มีตัวเราอยู่ในทั้งกายและจิตจริง ๆ ถูกมั้ยเจ้าคะ?
หลวงตา : ที่หลวงตาพูดว่า ในตัวเรานอกจากจะมี "กายสังขาร" แล้วมันมี "จิตตสังขาร" ทีนี้ในตัวเราจิตตสังขารทุกปัจจุบันขณะไม่ว่าจะอาการหยาบ ปานกลาง ละเอียดเพียงใดในทุกปัจจุบันขณะ มันก็จะเกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร
ความไม่มีอะไร คือ "วิสังขาร" ธาตุรู้ที่มันรวมกับความว่าง ก็เป็นความไม่มีอะไร แล้วก็สังขารก็เกิดเองดับเอง ๆ ๆ อย่างนี้ ในตัวเรามีแค่นี้เอง แล้วสังขารก็ทำงานโดยอิสระใจก็ว่างเปล่า
เพราะฉะนั้นความว่างมีสองอัน คือ ความว่างที่เป็นอากาศ กับความว่างที่เป็นรู้มารวมกัน มันก็เลยรู้ด้วยความไม่มีตัวตน หรือไม่มีผู้ยึดถือสังขาร แล้วไม่มีผู้ยึดถือใจที่ว่างเปล่า เพราะว่าความรู้นี่มันได้แต่รู้ มันยึดไม่ได้ เพราะถ้ายึดได้มันต้องเป็นอวิชชา แต่ถ้าไม่มีอวิชชาเสียแล้วมันได้แต่รู้
ถ้ามันได้แต่รู้แล้วมันก็ไม่มีอวิชชา แล้วมันก็จะไม่ยึดอะไร ไม่ยึดสังขารที่เกิดดับทุกปัจจุบันขณะ ที่อยู่ ๆ ในใจของเรา มันไม่มีอะไรแล้วก็มันเกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วก็ดับกลับคืนไปสู่ความไม่มีอะไร
ธรรมชาติมีแค่สองอย่าง คือ ธรรมชาติที่เกิดดับ กับธรรมชาติที่ไม่มีอะไรปรากฏเลย เป็นที่รองรับสิ่งที่เกิดดับ ธรรมชาติที่ไม่มีอะไรปรากฏ เป็นธรรมชาติที่รองรับสิ่งที่เกิดดับ งั้นสิ่งที่เกิดดับเรียกว่า "สังขาร" ธรรมชาติที่ไม่ปรากฏอะไรเลยเรียกว่า "วิสังขาร"
"วิสังขาร" นี่มีความรู้นะ ถ้าเป็นความว่างไม่มีความรู้ อันนั้นเป็นอากาศ ทีนี้วิสังขารมันเป็นความรู้ที่ตัวตนไม่มี มันเลยรวมกับความว่างแต่มันไม่มีตัวตน ไม่มีอาการใด ๆ มันรู้อะไร? ก็รู้ว่าสังขารที่เกิดเองดับเองไม่มีใครยึดมั่นถือมั่น... ไม่มีผู้ยึดมั่นถือมั่น
มีแต่ธรรมชาติอย่างนี้เกิดอยู่ตลอดเวลา สังขารเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ สังขารเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ แล้วก็คนยึดไม่มี ผู้ยึดไม่มี "รู้แก่ใจ" ว่าไม่มีความยึด ที่ไม่ยึดนั่นแหละ คือ "ธาตุรู้" แต่สังขารเนี่ยมันเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ
ที่รู้แก่ใจว่าไม่ยึดทั้งสังขารที่เกิดดับ และไม่ยึดทั้งความว่าง ว่างเปล่าจากตัวตนว่างเปล่าจากอะไรก็ไม่มีใครยึด ไม่ยึดทั้งสังขารด้วย และไม่ยึดทั้งความไม่เกิดดับด้วย ได้แต่รู้ อันนี้แหละ คือ นิพพานธาตุ เป็นนิพพานธาตุ
มันต้องเห็นอย่างนี้ ทีนี้เหตุใดเล่าจึงต้องสอนให้ไปแยกพิจารณากาย ให้เห็นว่ามันต้องเน่าเปื่อยผุพังสลายไปไม่มีตัวตนคงที่ให้มันลงตาย เน่าเปื่อย ผุพังสลายไปดิน น้ำ ลม ไฟ สลายไปให้หมดสิ้นไม่เหลืออะไร ไม่เหลือตัวเหลือตนเพราะอะไรล่ะ?
มันมองไม่เห็นสิ่งเกิดดับในใจเราว่า สังขารเกิดเองดับเอง ๆ ตัวตนไม่มี มีแต่สังขารเกิดเองดับเอง ๆ อยู่ในความไม่มีอะไร แล้วสังขารที่เกิดเองดับเองก็ไม่ได้เป็นตัวตนมันเกิดแล้วก็ดับไป ๆ จึงไม่ได้เป็นตัวเราเป็นตัวตนของเรา เพราะว่ามันเป็นสิ่งเกิดดับจึงไม่ได้มีตัวตนอยู่ในนั้น
ถ้ามันมีตัวตนของเราในสิ่งเกิดดับ มันก็ตายไปตั้งนานแล้ว เพราะว่าเดี๋ยวมันก็เกิด เดี๋ยวมันก็ดับ มันไม่ตายก็เพราะว่ามันไม่มีตัวเราอยู่ในสิ่งเกิดดับ แล้วก็ในความไม่มีอะไรเนี่ย มันมีตัวเราไม่ได้ เพราะว่าชื่อมันบอกอยู่แล้วว่าไม่มีอะไร แล้วเราจะไปยึดตัวเราอยู่ในความไม่มีอะไร เราจะยึดมาเป็นของ ๆ เรา
ถ้าเราเข้าใจด้วยใจอย่างนี้ แล้วรู้จริง ๆ เห็นจากใจจริง ๆ ว่า ในใจเรามีแต่สิ่งเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ และความเกิดดับเนี่ยมันไม่มีตัวเราอยู่ในนั้นหรอก ไม่งั้นถ้าเรามีตัวเราอยู่ในสิ่งเกิดดับเราตายนานแล้ว แล้วไอ้ความไม่มีอะไรเนี่ยมีตัวเราไม่ได้
แล้วเราก็รู้ว่าที่เราไปปรุงว่าเป็นเรา เรา ๆ เนี่ย มันคือสิ่งเกิดดับเพราะธรรมชาติที่มันไม่เกิดดับมันปรุงไม่ได้เพราะธรรมชาติมันมีแค่สองอย่าง เพราะฉะนั้นความเป็นเราตัวเราตัวตนของเราเป็นของของเรา มันต้องเป็นธรรมชาติที่เกิดดับ เพราะธรรมชาติไม่เกิดดับมันไม่มีตัวตนไม่มีอะไรเลย มันจะไปเป็นธรรมชาติที่เป็นเราไม่ได้
ไม่เห็นแบบนี้เพราะอะไร มันเห็นเราเป็นตัวตนอยู่นั่นแหละเพราะตัวนี้มันบัง ตัวอ้วน ๆ ยาววา หนาคืบ กว้างศอกเนี่ย มันบังไว้ว่าเราเป็นตัวเป็นตน
กายมันบัง กายบังจิต หรือ "ขันธ์บังธรรม" รู้ไม่ทันขันธ์บังธรรม ที่พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่มั่นท่านว่า ทีนี้พอกายมันบังจิตก็ระเบิดกายทิ้งไปด้วยยังไงก็ได้ให้กายมันสลายไปจากความรู้สึกให้ได้
เมื่อกายสลายไปแล้ว มันก็เลยเดินไปไหนมาไหนไม่มีตัวเลยไม่มีตัว ไม่มีน้ำหนัก มีแต่ความว่างเปล่า และในความว่างเปล่าเนี่ยเห็นจิตเนี่ยมันไม่ได้เกิดในตัวแล้วตอนนี้เห็นจิตมันเกิดเองดับเอง เกิดเองดับเอง ๆ คือ จิตมันเกิดในอากาศเลย เกิดในอากาศเกิดเองดับเองในอากาศ แล้วจิตไม่มีตัวตนไม่มีสิ้นตัวตนเนี่ยขั้นตอนมัน
แต่ถ้าเราไม่เห็นจริง ๆ จากใจของเราว่าจิตมันเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ ตัวตนไม่มี เราก็จะมโนเอาคิดเอา เราก็เห็นตรงนี้ คือรู้จากใจจริง ๆ เห็นการเกิดดับอยู่ในความว่างเปล่าความไม่มีอะไร ไม่มีตัวตนของเราอยู่ในสิ่งเกิดดับ และไม่มีตัวตนของเราอยู่ในความว่างเปล่า
ถ้าเราเห็นตรงนี้ก็เห็นตรงนี้ แต่น้อยคนที่เห็นตรงนี้ได้
โยม 4 : ถ้าเราเห็นแล้วเราก็ไม่ต้องไปพิจารณากายหรือเปล่าเจ้าคะ?
หลวงตา : ถ้าเห็นจริง ๆ ก็ไม่ต้องพิจารณากาย ส่วนใหญ่มันมโนเอา มันไม่สิ้นความเป็นเรา คือ เราเห็นแล้ว เราเห็นแล้ว เรานิพพานแล้ว ก็มันไม่มีเราไง!! เราเห็นแล้ว ๆ เราไม่สังขารแล้ว เราว่างเปล่า
เรายึดถือความว่างเปล่าแต่เราปฏิเสธสังขาร เลยกลายเป็นว่าเราดูรู้เห็นสังขาร โดยมองผ่านมันไปเลย เพราะอะไร? เราไม่ชอบมัน เราปฏิเสธมันว่า สังขารมันเป็นทุกข์เป็น "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" เราไม่ชอบมันเราปฏิเสธมัน เรารังเกียจมัน
เรามองผ่านไปที่ความว่างอย่างเดียวโดยที่เราไม่เห็นว่าสังขารน่ะเกิดเองดับเอง แต่เรามองผ่านไปที่ความว่างเลย แล้วเราก็มีตัวเราไปยึดความว่าง เอาความว่างนั้นน่ะเป็นนิพพาน แล้วก็เอาตัวเราไปฝังไว้ในความว่างตัวเรากลายเป็นความว่าง ตัวเราไม่เป็นสังขารแต่ตัวเราเป็นความว่าง!
เห็นมั้ยมันยังไม่ได้สิ้นตัวเรา จึงต้องมาพิจารณาตัวเราให้สิ้นก่อน ว่าความเป็นตัวเราไม่มีอยู่ในกายซะก่อน แล้วก็เห็นจิตเกิดดับ ๆ อยู่ในความว่าง แล้วก็ไม่มีตัวอยู่ในจิต ก็พ้นทุกข์
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
200309A-1 วิญญาณธาตุกับวิญญาณขันธ์ ตอนที่ 1
9 มีนาคม 2563
ฟังจากยูทูป :
https://youtu.be/C9Mgt6755dM
~~~~~~~~~~~~~~~