โยม 1 : คือจริง ๆ เมื่อก่อนก็เข้าใจที่หลวงตาสอนนะครับ พอเราดู ๆ ไป พิจารณาเข้าไปนะครับว่า เอ… สมมุติว่าตัวต้นจิตที่จะไปรับรู้ ถ้าพูดในแง่ว่าความสามารถในการรู้ ตัววิญญาณขันธ์ มันมีความสามารถในการรู้ ตัวธาตุรู้ก็มีความสามารถในการรู้
เพราะฉะนั้นในต้นจิตที่เกิดขึ้น ณ ขณะจิตแรก ตึ๊ง! ขึ้นมา วิญญาณขันธ์ต้องรับรู้ก่อน ขณะเดียวกันวิญญาณธาตุก็รับรู้ด้วย เราก็เคยรู้อย่างที่หลวงตาสอนนะครับว่า "วิญญาณธาตุ" เนี่ยมารู้วิญญาณขันธ์
แต่ในขณะจิตแรกที่เกิดเนี่ยครับ วิญญาณขันธ์รับรู้ ปุ๊บ!.......
หลวงตา : "วิญญาณธาตุ" ไม่ใช่มารู้วิญญาณขันธ์นะ!!
วิญญาณธาตุนี่มันคือยึดหรือไม่ยึดแค่นั้นเอง แต่ไม่ใช่มารู้วิญญาณขันธ์ มันรู้ว่าทุกปัจจุบันขณะที่มันรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยึดหรือไม่ยึด
ถ้ายึดน่ะมันก็รวมเป็นสังขารไปเลย ถ้าไม่ยึดก็คือพ้นจากสังขารเลย แต่มันไม่ใช่ว่ามารู้วิญญาณขันธ์ เพราะว่าที่มารู้วิญญาณขันธ์มันก็คือ... วิญญาณขันธ์!... วิญญาณขันธ์!... วิญญาณขันธ์! ตัวต่อไปตลอดเวลา ไม่ใช่... วิญญาณธาตุ
เพราะงั้นพอรู้ปุ๊บ! มีเจตสิกเข้าผสม เพราะว่าเจตสิกกับวิญญาณมันทำงานร่วมกัน พอมันทำงานร่วมกัน มันเป็นอารมณ์เป็น "ธรรมมารมณ์" แล้วก็ตัวที่มารู้วิญญาณขันธ์ทำงานร่วมกับเจตสิก มันก็คือ วิญญาณขันธ์ ทำงานร่วมกับเจตสิก ตัวต่อไป ๆ ๆ .....
ถ้าเราว่าผู้รู้ (วิญญาณธาตุ) มารวมกับขันธ์ห้า เราก็จะแยกขันธ์ห้าไม่ได้ เราจะไม่สิ้นยึดขันธ์ห้า เพราะว่าเอา “ผู้รู้ที่เป็นพุทธะ” เอามารวมกับขันธ์ห้าทำงานร่วมกัน คือ วิญญาณขันธ์รู้อะไรผู้รู้ก็รู้อันนั้น จิตเดิมแท้ที่บริสุทธิ์ก็รู้อันนั้นด้วย
ถ้าทำงานร่วมกันอย่างนี้ เราจะปล่อยวางขันธ์ไม่ได้ เพราะว่ามันทำงานร่วมเป็นเนื้อเดียวกับขันธ์ห้าซะแล้ว คือปัจจุบันขณะวิญญาณขันธ์ไปรับรู้อะไรทางตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ ธาตุรู้ที่บริสุทธิ์มันก็ไปทำงานร่วมกัน มันก็รู้สิ่งนั้นด้วย เพราะฉะนั้นมันจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกันไปเลย เราจะปล่อยวางในสิ่งที่รู้ไม่ได้
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 1 : หลวงตาครับมันเป็นไปได้มั้ยครับว่า ด้วยความเป็นอวิชชาเนี่ยครับ ทำให้ธาตุรู้กับวิญญาณขันธ์มันทำงานด้วยกันไป ในช่วงที่เรายังมีอวิชชา
หลวงตา : คือมันรู้แล้วมันยึดไปเลยไง มันก็เลยทำงานร่วมกันตอนที่มันยึดนี่แหละ
มันยึดในสิ่งที่มันรู้ มันเป็นไปเลย คือมันเป็นไปกับขันธ์ห้าเลย คือรู้ปุ๊บ! เรารู้เลย... เราเห็น เราได้ยิน เราได้กลิ่น เรารู้รส เรารู้สัมผัส เจ็บปวดเมื่อยเป็นแผล รู้ทางใจ รู้อาการทางใจ คือมันรู้อะไรมันยึดเลย!! ว่านี่เป็นของเรา อย่างเช่นว่า “สบาย” พอมารู้ธรรมารมณ์มันก็ยึดเลยว่าใจเราสบาย ใจของเราสบาย พอไม่สบาย ใจของเราไม่สบาย คือมันเบ็ดเสร็จไปเลย มันยึดเป็นเราเป็นของเราไปเบ็ดเสร็จเลย
พูดง่าย ๆ ขันธ์ทำงานแต่บวกเรา "ธาตุรู้บวกอวิชชา" บวกว่าเรา กับของเรา เพราะฉะนั้นขันธ์เวลาทำงาน พอรับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ คือขันธ์ทำงาน หรืออายตนะภายในอายตนะภายนอกทำงาน แต่ขันธ์ทำงาน..."บวกเรา"!
คือมันบวกกันมันไม่ได้เป็นอันเดียวกัน แต่มันรวมกันเรียกว่า… บวก มันบวกเลยเหมือนกับว่า น้ำแข็งเอาเป๊บซี่ (pepsi) มาเทใส่ไป บวกกันเลยเป็นน้ำเป็บซี่ มันออกมาเป็นน้ำเป็บซี่เลย คือมันบวกแล้ว
โยม 1 : อันนี้เข้าใจครับหลวงตา ผมอาจจะคิดเยอะไป ก็คือในส่วนตรงจุดที่ต้นจิตน่ะครับ หมายความว่าในสภาวะที่เป็นต้นจิต คือ เรารู้อยู่แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นวิญญาณขันธ์ก็รับรู้ ธาตุรู้ก็รับรู้ แต่ธาตุรู้ รู้ว่า... อันเนี้ยไม่ใช่เค้า ก็คือหมายความว่าไม่ได้ยึด
หลวงตา : ก็ใช่... รู้สังขารนะ รู้ว่าสังขารไม่ใช่วิสังขาร คือธาตุรู้มันรู้แบบนี้
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 1 : จริง ๆ แล้วมันรู้พร้อมกันด้วยซ้ำไปใช่มั้ยครับหลวงตา? ก็คือรู้พร้อมวิญญาณขันธ์ด้วยซ้ำไปธาตุรู้เนี่ย
หลวงตา : ธาตุรู้ คือ “มันรู้แจ้งแก่ใจ” ไม่ใช่ไปรู้สังขารนะ
อย่างนี้…. โยมเห็นหลวงตาใช่มั้ย? โยมรู้หลวงตา
ที่โยมรู้หลวงตานี่คือวิญญาณขันธ์ทำงานร่วมกับเจตสิก โยมเลยรู้ว่าเนี่ยหลวงตา
แต่ความรู้แก่ใจละไว้ว่า…หลวงตาไม่ใช่โยม แต่มันไม่ได้ปรุงออกมานะ มันจึงเรียกว่า "วิสังขาร" "ธาตรู้มันไม่ได้ปรุงแต่ง มันไม่เป็นอวิชชา มันเป็นธาตุที่ไม่ปรุงแต่ง มันเป็นความรู้ที่ละเอาไว้ในใจว่าหลวงตาเนี่ยไม่ใช่โยม เพราะอะไร? โยมรู้จักหลวงตา
แต่ไม่ใช่ต้องท่องซ้ำอีกว่า นี่คือโยม นี่คือหลวงตา... อย่างนี้คือสังขาร แต่ความรู้แก่ใจมันไม่ต้องท่องซ้ำ ว่านี่คือโยมนี่คือหลวงตา คือมันรู้ว่าหลวงตาก็คือหลวงตา โยมก็คือโยม เพราะว่าโยมรู้จักโยม โยมก็ต้องรู้จักว่าโยมนี่มีหนึ่งเดียวในจักรวาล คนอื่นไม่ใช่โยมทั้งหมด
งั้นคนอื่นทั้งหมดทุกปัจจุบันขณะ อดีต ปัจจุบัน อนาคต อยู่ไกลอยู่ใกล้… สังขารหมด! โยมมีชื่ออย่างเดียวคือ “ใจ” สมมติน่ะนะ หรือจิตเดิมแท้หรือธาตุรู้บริสุทธิ์ มีหนึ่งเดียวในจักรวาล โยมก็เป็นความรู้แก่ใจที่ไม่สังขาร มันเป็นความรู้แก่ใจที่ไม่สังขาร โดยไม่ต้องรู้ซ้ำซ้อนเข้าไปอีกว่า เราไม่ใช่สังขาร
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 1 : มันเกิดขณะจิตเดียวกันมั้ยครับ?
หลวงตา : เอ้า… โยมรู้ว่านี่หลวงตา วิญญาณขันธ์ทำงานแล้วนี่หลวงตา แล้วโยมไม่ได้เข้าใจผิดเลยว่าหลวงตาเป็นโยม โยมเป็นหลวงตา ไม่ต้องบอก โยมต้องมีความรู้สึกว่าต้องมีความรู้อีกอันหนึ่งมั้ย?
รู้หลวงตาก็คือรู้หลวงตาไปเลย อันนี้จะบอกว่ามันเกิดพร้อมหรือเปล่าล่ะ?
คือมันไม่เกิด ไอ้ที่รู้แก่ใจมันไม่เกิดไง “มันไม่เกิดดับ” แต่ที่รู้หลวงตานี่มันเกิดดับ จะบอกว่ามันเกิดพร้อมก็ไม่ได้ เพราะว่ามันไม่เกิดดับ เข้าใจมั้ย? มันไม่เกิดดับคือมันไม่แสดงอาการมาเกิดอีกหนหนึ่ง แล้วก็ซ้อนกันกับที่หลวงตา มันจึงเรียกว่าเกิดซ้อนไม่ได้ เพราะว่ามันจะเป็นเนื้อเดียวกันไม่ได้
มันจะเกิดเป็นเนื้อเดียวกับ "รู้ทางอายตนะ" ก็ไม่ได้ เพราะว่ารู้อันนั้นมันเกิดดับไง แต่ "รู้แก่ใจ" นี่มันไม่เกิดดับ คือความที่โยมนี่รู้จักหลวงตา โยมก็ไม่ต้องมาเกิด การรู้จักหลวงตาไม่เกิดดับ
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 1 : ครับหลวงตา ที่เข้าใจอย่างนี้ เคยครั้งหนึ่งหลวงตาเคยเปรียบเทียบว่าวิญญาณขันธ์ กับตัวธาตุรู้เหมือนเป็นคู่แฝดกัน มันเป็นคู่แฝดกันอยู่อย่างนี้
หลวงตา : วิญญาณขันธ์ กับธาตุรู้เหมือนเป็นคู่แฝดกัน... ใช่ ๆ
โยม 1 : คือเวลาเรามีอวิชชา เราก็มักจะยึด ธาตุรู้เนี่ยก็จะยึดวิญญาณขันธ์เป็นเราถูกมั้ยครับ?
หลวงตา : คือมันไปเป็นคู่แฝดฝ่ายสังขาร
โยม 1 : ทีนี้พอถึงจุดหนึ่ง เรารู้แล้วว่าตัวสังขารเนี่ยมันไม่ใช่เราไม่ใช่อีกตัวหนึ่ง ทีนี้จริง ๆ แล้วคู่แฝดเค้าเนี่ยคือเป็นอย่างเมื่อกี้ที่หลวงตาว่า จริง ๆ แล้วมันไม่ได้เกิดดับเหมือนกับวิญญาณขันธ์ แต่มันเหมือนยืนพื้นคล้าย ๆ ว่ายืนพื้นรู้เลย ว่ามันไม่ใช่เค้า
ผมหมายถึง "ใจ" หรือธาตุรู้ที่ไม่มีอวิชชารู้อยู่แล้วว่าวิญญาณขันธ์ไม่ใช่เค้า คือยืนพื้น มันไม่ได้เกิดดับ คือจริง ๆ แล้วมันไม่ได้เป็นคู่แฝดชนิดที่เกิดดับ
หลวงตา : ตรงนี้เราสมมุติเฉย ๆ เราสมมุติว่ามันเหมือนคู่แฝด แต่เราบอกว่าแฝดตัวหนึ่ง “มีตัว” แฝดอีกอันหนึ่ง “ไม่มีตัว” มันจึงไม่มีตัวนี้ยืนพื้น ตัววิสังขารน่ะมันไม่มีตัวรู้ยืนพื้น
แต่เราเปรียบเทียบให้เห็นว่าอย่าไปหลง มันเนี่ยมีคู่แฝดมันคือ "รู้เรา" ไม่ใช่เรารู้ ถ้าเรารู้เนี่ยเราหลงไปเป็นแฝดอีกตัวหนึ่ง
แต่ธาตุรู้เนี่ยมันรู้เรา เรารู้อะไรน่ะมันจะรู้เราแต่ไม่ยึด ไอ้เนี่ยมันเลยเป็นคู่แฝดกัน
หลวงตาเพื่อต้องการแยกให้ออก เปรียบเทียบยกตัวอย่างให้เห็นว่า... "รู้เรา" กับ "เรารู้" เนี่ย
ถ้า "เรารู้" มันจะเป็นคู่แฝดฝ่ายที่เป็น "สังขาร"
แต่ถ้า "รู้เรา" มันจะเป็นคู่แฝดฝ่ายที่เป็น "วิสังขาร"
แต่ไอ้ที่รู้เราเนี่ยมันไม่มีตัวตนไม่มีตัวรู้ยืนพื้น คือมันเหมือนแฝดแต่อีกอันไม่มีตัว อีกอันมันมีตัว ถ้าเรารู้น่ะมันมีตัว แต่ถ้า "รู้เรา" มันไม่มีตัว
ที่โยมบอกว่ามีต้นจิตน่ะ หมายถึงเรานี่คือส่วนที่กระดุกกระดิก คือแฝดส่วนที่กระดุกกระดิก เรียกว่าสังขาร พอเราเริ่มกระดุกกระดิก ๆ ความรู้แก่ใจน่ะ "รู้เรา มันรู้แก่ใจ" ว่าที่กระดุกกระดิกก็คือเหมือนกับว่ารู้จักหลวงตา สังขารเนี่ยคือหลวงตา แต่มันก็รู้ว่าหลวงตาเนี่ยไม่ใช่โยม ไม่ใช่เรา มันรู้เบ็ดเสร็จในนั้น ว่าหลวงตาเนี่ยไม่ใช่เรา คือ สังขารมันไม่มีคนยึดถือ มันไม่มีคนยึดถือสังขาร
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 1 : แล้วมันพูดอย่างนี้ได้มั้ยครับหลวงตา คือจริง ๆ แล้วเค้ารู้สังขาร แต่ว่ารู้ในลักษณะที่ว่า รู้ว่าเค้าไม่ใช่เรา คือ ไม่ใช่ธาตุรู้
คือรู้ไม่ใช่รู้เรื่องของสังขาร แต่รู้ว่าสังขารเนี่ยไม่ใช่เค้า พูดอย่างนั้นได้มั้ยครับ คือไม่ได้ไปรู้เรื่องของสังขารเพราะว่า ธาตุรู้ไม่รู้อยู่แล้วถูกมั้ยครับหลวงตา? คือมันจะสังขารยังไงธาตุรู้เค้าไม่รู้อยู่แล้ว แต่เค้ารู้ว่าสังขารเนี่ย... ไม่ใช่เค้า
หลวงตา : มันก็รู้ว่าเป็นสังขาร
เพราะว่าอะไร? ก็มันรู้จักว่าสังขารไม่ใช่ธาตุรู้ มันก็เลยเท่ากับรู้จักสังขารนั่นแหละ เพราะว่ามันรู้ว่าสังขารไม่ใช่ใจ มันก็เท่ากับรู้จักสังขาร แต่ไม่ได้ไปรู้เรื่องของสังขาร แต่มันรู้จักว่า... นี่สังขาร
นี่คือ... ใจที่ไม่สังขาร มันรู้จักแบบนี้
โยม 1 : รู้จักสังขารแต่ไม่รู้จัก "เรื่องที่สังขาร"
ผมอาจจะเข้าใจผิดว่า เรื่องจิตเวลาเรารู้เนี่ย คือ ธาตุรู้เขาก็รู้ เขาก็รู้สิ่งที่สังขารปรุงแต่งรู้ แต่ขณะเดียวกันนั้นเอง เค้ารู้ด้วยว่าไอ้เนี่ยไม่ใช่เค้า
งั้นถ้าหลวงตาพูดอย่างนี้ ก็แสดงว่าจริง ๆ แล้วในความสังขารเนี่ยธาตุรู้เขารู้แต่ว่ามันเป็นสังขาร โดยที่ไม่ได้สนใจรายละเอียดว่าจะสังขารยังไง ไม่ได้รับรู้เลย แต่รู้ว่าไอ้เนี่ยเป็นสังขาร สังขารเนี่ยไม่ใช่เค้า เท่านี้ใช่มั้ยครับหลวงตา?
หลวงตา : เออ ใช่ ใช่ ๆ แต่มันไม่ได้ไปใส่รายละเอียดอย่างนี้นะ คือว่ามันไม่มีตัวเกิดมารู้อย่างนี้นะ
แต่หลวงตาพูดเพื่ออธิบายให้เข้าใจ เหมือนยืดยาวว่ารู้ว่า... นี่คือสังขาร... สังขารไม่ใช่วิสังขาร... สังขารนี่ยึดไม่ได้
แต่ใจน่ะมันเป็นวิสังขารที่ตัวตนไม่มี เวลามันรู้เบ็ดเสร็จน่ะ คือมันรู้ทีเดียวขึ้นมาเลย รู้จักว่าหลวงตาไม่ใช่โยม โยมไม่ใช่หลวงตา มันรู้เลย แต่ว่าเวลาอธิบายกันเนี่ย มันคล้าย ๆ ว่ามีคำอธิบายยืดยาว แต่เวลารู้ออกมาจากใจว่าที่รู้จักหลวงตา คือ วิญญาณขันธ์ ขันธ์ห้าทำงาน
แต่ที่โยมไม่ยึดถือหลวงตา เพราะโยมรู้ว่าหลวงตาไม่ใช่โยม โยมไม่ใช่หลวงตา โยมเลยไม่ยึดถือผิดตัวว่า เอ๊ะ ...หลวงตาใช่โยมหรือเปล่า... เข้าใจมั้ย?
โยม 1 : เข้าใจครับ
~~~~~~~~~~~~~~~
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
200309A-1 วิญญาณธาตุกับวิญญาณขันธ์ ตอนที่ 1
9 มีนาคม 2563
ฟังจากยูทูป :
https://youtu.be/C9Mgt6755dM
~~~~~~~~~~~~~~~