ต้องปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยการละบาปบำเพ็ญบุญกุศล แล้วก็ฝึกฝนจิตใจของตัวเองให้ปราศจากกิเลส และความทุกข์เศร้าหมอง
แล้วก็แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรสรรพสัตว์ทั้งหลาย กรรมหนักมันก็จะลดน้อยลงไป กรรมกลาง ๆ ก็จะเบาบางลงไป ถึงแม้จะได้รับบ้างแต่ไม่ถูกกรรมหนักมาตัดรอนจริง ๆ มันก็ยังไม่ถึงแก่ความตาย ก็พอที่จะบรรเทาไป ทำให้ได้ปฏิบัติให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานไปก่อนที่จะตาย ด้วยคุณงามความดีที่คุ้มครองเอาไว้
แต่ก็ยังไงก็ต้องแพ้กรรม แต่ถ้ากรรมหนักมาตัดรอนก็ไม่เหลือเหมือนกัน งั้นเมื่อท่านละบาปบำเพ็ญบุญแล้วก็ฝึกฝนจิตใจ พอใจสงบแล้วก็เอามาอธิษฐานจิตเข้า
หลวงตาก็โพสต์ไปในไทม์ไลน์ มีภาพที่ว่าในไทม์ไลน์ของหลวงตาที่เป็นภาพ "โรค COVID-19" แล้วก็ไปเปิดดูวิธีการปฏิบัติตามนั้น
ก็เป็นไปตามคำสอนพระพุทธเจ้านั่นแหละ คือปฏิบัติใน "อานาปานสติ" ให้มี "สติสัมปชัญญะ" มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมระลึกรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ระลึกรู้อยู่กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมหายใจทั้งเข้าและออกมีความหยาบ ละเอียด ปานกลาง นุ่มนวล กระแทกกระทั้น มันเป็นอย่างไรก็รู้เขาตามความเป็นจริง
ลมหายใจนี่เป็นเครื่องปรุงแต่งกาย ลมหายใจเคลื่อนไหวแต่ "ผู้รู้" ไม่ปรากฏตัวตน ไม่ปรากฏความเคลื่อนไหว
แต่มันจะต้องปรากฏก่อน ที่ลมหายใจเคลื่อนไหวแล้วมันจะต้องปรากฏผู้รู้ตัวปลอมก่อน ผู้รู้ตัวปลอมผู้รู้ลมหายใจเคลื่อนไหว ผู้รู้น่ะคือตัวจิต (ผู้รู้ตัวปลอม) มันก็จะพูด
แล้วก็เห็นจิตเคลื่อนไหวแต่ "ผู้รู้ตัวจริง" จะไม่ปรากฏความเคลื่อนไหว แล้วก็ปรากฏการณ์เคลื่อนไหวแต่ผู้รู้ตัวจริงจะไม่ปรากฏความเคลื่อนไหว
เราก็จะเห็นปรากฏการณ์เคลื่อนไหว จิตเคลื่อนไหว แต่ผู้รู้ตัวจริงไม่เคลื่อนไหว
แล้วก็ฝึกอย่างนี้ของเราไปเรื่อย ๆ อานาปานสติได้แต่ "สักแต่ว่า" รู้กายรู้จิตที่เคลื่อนไหว แต่ผู้รู้ไม่เคลื่อนไหวไม่ปรากฏตัวตน
เมื่อฝึกแล้วก็ฝึกให้มันเกิดพลังมาด้วย มาคุ้มครองรักษาตัวเองเหมือนกับออกกำลังกาย แทนที่จะหายใจมาแค่ถึงปอดก็หายใจมันไปถึงท้องนู่น บางคนก็หายใจเข้าท้องแฟบบางคนก็หายใจเข้าท้องพอง คือให้มันไปถึงท้องก็แล้วกัน หายใจให้มันไปถึงท้องนู่น แล้วก็จะหายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องแฟบ บางทีก็เถียง ๆ กันอยู่ว่าหายใจเข้าท้องพอง หรือหายใจเข้าท้องแฟบ คือให้มันไปถึงท้องก็แล้วกัน อย่าให้ไปถึงแค่ลิ้นปี่ มันจะได้มีกำลัง
แต่หลักมันคือ... เอาของเสียออกหมดก่อน!!!
หายใจออกเอาของเสียออกให้หมด หมดร่างกายเลย ก็คือเวลาหายใจออกมา เอาของเสียออกได้มันก็ต้องช่วยเอามือกดหน้าท้องตัวเอง ให้มันแห้งจนไปติดซี่โครงข้างหลังนั่นแหละ แล้วก็เอาลมออกทางปากออกทางจมูกให้หมด เอาเชื้อโรคออกไปเอาอะไรออกไปหมด เอาของเสียออกไป เหมือนกับว่าน้ำในแก้วมันสกปรกคว่ำออกไปเลย เทออกไปให้หมดก่อน แล้วก็เติมออกซิเจนสะอาดเข้าไป มันก็เติมน้ำสะอาดเข้าไป
ที่ถูกต้องมันน่าจะหายใจออกท้องแฟบก่อน โดยหลักต้องหายใจออกก่อนนะ อย่าไปหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปในขณะที่ยังไม่เอาของเสียออก เราต้องหายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์ทิ้งไปก่อนให้หมดท้องก่อน ให้เอามือกดท้องให้มันแปบไป ถ้าอ้วนนักนั่งแล้วมันกดไม่ค่อยลงก็นอนหงายก็ได้ แล้วก็เอามือกดท้องให้มันแปบ แล้วก็เอาลมออกปากจมูกก่อน แล้วเดี๋ยวเวลาหายใจเข้าท้องมันก็พองเอง
ก็ฝึกอย่างเนี้ยแล้วก็รู้ด้วยลมมันเคลื่อนไหวยังไงให้มันรู้ "สติ" อย่าขาด ความรู้ในลมเนี่ยอย่าให้สติขาดอย่าให้ฟุ้งซ่านไป ลมมันเคลื่อนไหวยังไงให้รู้ แล้วก็หายใจอย่างนี้ให้มันชำนาญ หายใจออกให้ท้องมันแฟบนะ หายใจเข้าให้ท้องมันพอง ไม่ใช่ไปท่อง "พองแฟบ แฟบพอง" ไม่ต้องท่องนะ แค่รู้เฉย ๆ ไม่ต้องไปนั่งท่องพองยุบ ๆ อะไรหรอกให้มันแค่รู้เฉย ๆ
แล้วพอเราฝึกชำนาญแล้วเนี่ยก็ลองกักไว้ที่ท้องน้อย แล้วเอาหน้าไปจุ่มดูในกะละมังน้ำก็ได้ กักดูซิว่ามีลมรั่วออกมั้ย ถ้าลมไม่รั่วออกจมูกไม่มีอากาศมาอุดที่รูจมูกก็ใช้ได้แล้ว ฝึกกักลมไว้ที่ท้องน้อย หายใจเข้าจนกระทั่งกักลมไว้ที่ท้องน้อย
กักแล้วต้องไม่รั่ว จะดูว่าลมรั่วมั้ยก็ต้องเอาจมูกน่ะกักไว้ แล้วก็เอาลมมากักไว้ที่ท้อง แล้วก็เอาจมูกไปจุ่มน้ำ ถ้าไม่มีลมรั่วไม่มีฟองอากาศมาอุดที่รูจมูก แสดงว่ากักลมอยู่ได้แล้วใช้ได้แล้ว เหมือนกับยางล้อรถยนต์ หรือว่ายางล้อเครื่องบินน่ะ เวลาเขาเติมลมเข้าไปถ้ามันไม่มีลมรั่วนะ ยางเส้นเล็กนิดเดียวมันสามารถรับน้ำหนักเครื่องบินลำเบ้อเร่อนะ เพราะว่าลมนี่มันมีแรงดันมันมีอำนาจมากเลย มันสามารถรับน้ำหนักเครื่องบินยังได้เลย ขอให้ลมไม่รั่วอย่างเดียว ยางน่ะ งั้นในท้องเราถ้าลมไม่รั่วแล้ว ก็จะมีฤทธิ์เดชมีอำนาจมากเลยเขาเรียกว่า "พลังลมปราณ"
แล้วเวลาอธิษฐานจิต ก็อธิษฐานตอนที่กักลมไว้อย่าให้ลมรั่ว เพราะว่าถ้าไปอธิษฐานตอนลมรั่วมันก็จะเหมือนกับว่าเราอัดลมสูบลมใส่ยางแล้วลมมันรั่ว มันก็ไม่มีกำลัง เวลาอธิษฐานก็ต้องอธิษฐานตอนที่ลมไม่รั่ว
เราก็ฝึกให้มันชำนาญซะก่อน ว่าเวลาพอกักลมแล้วเอาจมูกไปจุ่มน้ำดูซิ ถ้าเอาจมูกไปจุ่มน้ำแล้วไม่มีลมรั่วออกมาแสดงว่าใช้ได้แล้ว แต่ถ้ากักแล้วลมมันออกมาบุ๋ง ๆ ๆ ที่จมูกก็แสดงว่ายังใช้ไม่ได้... ลมรั่ว ต้องฝึกจนกระทั่งลมไม่รั่ว
กักได้แล้วก็อธิษฐาน อธิษฐานนึกถึง พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ แล้วก็อธิษฐานด้วยบุญบารมีของเราความดีที่เราทำมาแล้ว รวมกับ "พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ" ขอให้ธาตุทุกธาตุขันธ์ทุกขันธ์ ธาตุทุกธาตุก็คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ ธาตุรู้ ที่มารวมกันหกธาตุ หรือว่าแค่ ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วก็ธาตุรู้ ไม่รวมกับอากาศก็ห้าธาตุ มารวมกันเป็นชีวิตเป็นขันธ์ห้าขึ้นมา
ขันธ์ทุกขันธ์ ก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ขันธ์ห้า) หรือสสารพลังงานและความว่าง หรือธาตุรู้ ให้กลับคืนสู่ความเป็นปกติตามธรรมชาติสมดุลตามธรรมชาติโดยอัตโนมัติตลอดเวลาตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ อันนี้อธิษฐานในขณะที่กักลมได้ก็อธิษฐาน
อย่าลืมนะ! ต้อง "พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ"
และ...สำคัญที่สุด ต้องบวกคุณงามความดีบุญบารมีที่เราได้ทำมาแล้ว
อันนี้ไม่ใช่ว่าเราไปขอแต่คนอื่น แต่ไม่มีบุญวาสนาของเราบวกไป นี่คือตัวสำคัญ ที่จะทำให้สำเร็จได้ในแรงอธิษฐานทุกชนิด บวกของเราเข้าไป มันจะได้มากได้น้อยมันก็อยู่ตรงบวกนี่แหละสำคัญ
พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ มีอำนาจอานุภาพไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ แต่ตัวบวกเนี่ยสำคัญ ที่จะสำเร็จไม่สำเร็จได้ คือมีบุญวาสนาน้อยแต่ขอมากปรารถนามากมันก็ไม่ได้ มันต้องสมดุล
ถ้าแค่เจ็บไข้ได้ป่วยไม่ได้ทำบาปกรรมหนัก ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตัดรอนชีวิตอื่น เบียดเบียนชีวิตอื่นสัตว์อื่นมาหลายภพหลายชาติ ทำกรรมมาน้อยในชาตินี้ก็ทำมาน้อย สุขภาพมันก็ดีนะ แล้วก็อย่างอื่นที่จะมาให้ผลร้ายมันก็จะหลุดรอดไปได้ แคล้วคลาดไปได้
ทั้งความดีเราด้วย ด้วยอำนาจ พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ และบุญกุศลคุณงามความดีบุญบารมีที่เราได้ทำแล้ว มันก็จะปัดเป่าทำให้มันแคล้วคลาดไปได้
เราก็อธิษฐาน บทสวดที่หลวงตาให้ไปเนี่ย เพราะได้มาจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์สมัยรุ่นเก่าอายุท่านร้อยกว่าปี ได้มาจากหลวงปู่องค์หนึ่ง ตอนสมัยหลวงตาไปเป็นผู้พิพากษา ท่านอายุร้อยกว่าปี จำไม่ได้ ร้อยกว่า ๆ ไม่รู้ร้อยเท่าไหร่ ท่านก็เป็นพระรุ่นเก่าโบราณมากแล้ว ก็เรียกไปตอนท่านจะมรณภาพ เรียกหลวงตาเข้าไปเมตตาว่าจะให้ของดีให้ของวิเศษ เรียกเข้ามาใกล้ ๆ แล้วท่านก็กระซิบคาถาบทนี้ให้
หลวงตาก็มาเพิ่มดัดแปลงขึ้นมานิดหน่อย ทำให้มันสามารถรักษาตัวเองได้ด้วย เพราะว่าท่านก็ให้มา
"พุทโธพระอะระหัง พุทธังรักษา ธัมโมพระอะระหัง ธัมมังรักษา สังโฆพระอะระหัง สังฆังรักษา ทุกข์ โศก โรค ภัย เสนียดจัญไรใด ๆ มีมา"
ทีนี้ก็ถ้าเราจะรักษาสุขภาพด้วยเราก็เพิ่มเข้าไป...
“พุทโธพระอะระหัง พุทธังรักษา ธัมโมพระอะระหัง ธัมมังรักษา สังโฆพระอะระหัง สังฆังรักษา ทุกข์ โศก โรค ภัย เสนียดจัญไร เชื้อโรคร้าย สารพิษร้าย เซลเนื้อร้าย... ใด ๆ มีมา อนัตตาสูญเปล่า นะสูญ โมสูญ พุทสูญ ธาสูญ ยะสูญ สูญหายไปด้วย นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ สัมปะจิตโต ปัจฉามิ”
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
200222A-1 ทางปฏิบัติเพื่อห่างไกลจากโรคภัย
22 กุมภาพันธ์ 2563
ฟังจากยูทูป : 200222A-1 ทางปฏิบัติเพื่อห่างไกลจากโรคภัย
https://youtu.be/z3Obv4m6yOw
หมายเหตุ : แนะนำฟังไฟล์เสียงที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเพื่อความถึงใจ
200306A พลังลมปราณ
https://youtu.be/atQd2MLsJig
200208A-2 อานาปานสติ (สมถะ-วิปัสสนา)
https://youtu.be/hktlx3BmLPo
200210A2-1 อานาปานสติอันละเอียดลึกซึ้ง ตอนที่ 1
https://youtu.be/14YbLMYvbDI
200210A2-2 อานาปานสติอันละเอียดลึกซึ้ง ตอนที่ 2
https://youtu.be/YhVc0-1lEt0
200229A อานาปานสติสู่ทางพ้นทุกข์
https://youtu.be/dNeXV5dE7RA
200223A2-1 เห็นลมหายใจและผู้รู้เกิดเองดับเอง
https://youtu.be/HSRxZvrZUGY
200227A ความสงบใจ
https://youtu.be/UGFevpYjUGg
200301A วิบัติของสังขารโลก
https://youtu.be/WVUWv0n4LoE
~~~~~~~~~~~~~~~