รู้ที่เป็น "นิพพาน" มันเป็นความรู้ที่เป็นธรรมชาติ
สมมุติว่าเราไม่ได้ลักของเขา แต่ถูกกล่าวหาถูกตำรวจจับว่าเราลักของ มีคนมาแจ้งความว่าเราเป็นคนร้ายลักของ มาจับผิดตัวอย่างนี้ เราไม่ได้ทำความผิด สมมุติว่าเราไม่ได้เป็นโจรปล้นร้านทอง แต่เขามาจับเราไป ถึงตำรวจจะจับเราไป จะลงโทษเราอย่างไรก็ตาม แต่เราเนี่ยรู้แก่ใจว่าเรา "บริสุทธิ์"
ใจที่ "รู้แก่ใจ" ว่าเราบริสุทธิ์ ไอ้เนี่ยคือไม่ตาย ไม่แตก ไม่ดับ
มันไม่ได้มีเราไปรู้อะไรนะ ไม่ใช่ว่าไปคอยรู้อายตนะอะไรนะ ไม่ใช่ไปคอยรู้อาการซื่อ ๆ คือมันรู้แบบว่าเราเนี่ยไม่ได้ไปปล้นร้านทอง แต่ตำรวจเขาจับมาตั้งสามสี่คน เขาจับผิดตัวมา
ดังนั้นแม้คนที่โดนจับผิดตัวสมมุติว่าถูกลงโทษน่ะนะ เจ้าตัวมันก็จะต้องรู้แก่ใจว่ามันน่ะเป็นคนบริสุทธิ์ เราถูกจับไปเราจะต้องรู้แก่ใจว่า เราไม่ได้ปล้น เราบริสุทธิ์
"บริสุทธิ์" คือเราไม่ได้อะไร ๆ กับอะไรเลย เราไม่ได้ไปอะไร ๆ กับอะไร
อะไรมันเป็นยังไงก็คงเป็นอย่างนั้น ในจิตใจเราทั้งภายในภายนอก มันเป็นยังไง มันก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ เรารู้แก่ใจว่าเราไม่เคยไปอะไร ๆ กับสิ่งใดภายนอก ไม่อะไร ๆ กับสิ่งใดภายใน
ความรู้แก่ใจว่า เออเนี่ย ... เราไม่ได้ไปอะไรกับอะไรเลย มันเป็นความบริสุทธิ์ของมัน เหมือนว่าถ้าเราไปอะไร ๆ กับภายนอกหรือว่าเราไปอะไร ๆ กับคนโน้นคนนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ เราไปอะไรกับอะไรจริง ๆ ตัวที่ตั้งใจ ที่มีเจตนา คือ "เจตนา" ที่จะไปอะไร ๆ จริงอย่างเนี้ย เหมือนกับว่าถูกจับได้ว่าเรามีเจตนาที่จะไปอะไร ๆ กับเขา
แต่ถ้าเราไม่มีเจตนาที่จะไปอะไร ๆ กับเขา แต่จิตมันไปของมันเอง เรารู้อยู่ว่าเราไม่ได้มีเจตนา แต่จิตมันไปของมันเอง มันไปตามความเคยตัวเคยใจ จิตมันไปเอง
“ใจ” ย่อมรู้แก่ใจว่า “ใจบริสุทธิ์” เพราะไม่ได้มีเจตนาสมรู้ร่วมคิดกับจิต
ซึ่ง ”ใจที่รู้แก่ใจว่าใจบริสุทธิ์” นี้เป็นอมตธาตุ อมตธรรม ไม่ตายแตกดับไปตามจิตปรุงแต่ง
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากสนทนาธรรมกับคณะศิษย์
ณ พุทธธรรมสถานปัญจคีรี
วันที่ 24 มกราคม 2563
~~~~~~~~~~~