โยม 1 : กราบนมัสการองค์หลวงตาเจ้าค่ะ ส่งการบ้านเจ้าค่ะ
ขณะที่หนูได้คุยกับพี่ที่ทุกข์มากคนนึง ปรากฏว่าปากก็พูดไปว่า ...
ที่เราทุกข์มากมายาวนาน เพราะเราทำทุกวิถีทางที่จะแยกความทุกข์ออกจากใจ หรือ พยายามช่วยใจให้ออกจากทุกข์ แต่ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ
ที่แท้ใจเป็นบ้านของความทุกข์ เค้าอยู่ด้วยกัน ยอมให้ความทุกข์กะใจเค้าอยู่ด้วยกัน เพราะความจริงเค้าอยู่ด้วยกัน
จึงไม่ต้องพยายามแยกมันอีก ทุกการกระทำ ทุกความดิ้นรนค้นหา ทุกความอยาก เป็นเพราะจะแยกความทุกข์กับใจออกจากกัน
ขณะที่พูดอยู่นั้นเหมือนข้างในมันเข้าใจอะไรขึ้นมาเจ้าค่ะ ... เหมือนมันกลับตาลปัตร ปล่อยบ้านร้าง ไม่มีเจ้าของ ไม่มี ”ใคร” ต้องทำอะไรเพื่ออะไรอีกต่อไปเจ้าค่ะ
น้อมกราบองค์หลวงตาอย่างสูงสุด
กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ
เมื่อพบ ”ใจ” ซึ่งเปรียบเหมือนบ้านร้างไม่มีคนอยู่แล้ว
ธาตุรู้บริสุทธิ์ หรือ จิตบริสุทธิ์ หรือ ใจบริสุทธิ์ หรือ นิพพาน ซึ่งเป็นธรรมธาตุจะรู้ขึ้นมาเองจากใจ ว่า บัดนี้บ้าน (ใจ) ร้างไม่มีเจ้าของแล้ว โดยไม่มีตัวตนของผู้รู้ ไม่มีตัวตนของผู้เจตนารู้ จงใจรู้ พยายามรู้ ตั้งใจรู้
ความรู้นี้ กับ ใจ (เปรียบเหมือนบ้านร้าง) ก็รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน คือ เป็นใจที่รู้ หรือ รู้ออกมาจากใจที่ไม่ปรากฏจุดหรือต่อมหรือที่ตั้งของใจ รู้ออกมาจากความว่างเปล่า ปราศจากตัวตน ว่างเปล่าจากรูปลักษณ์หรือที่หมายใด เป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิดดับ ไม่มีการเคลื่อนที่ ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการนิ่งเฉยอยู่ ไม่ปรากฏอะไรเลย ไม่มืด ไม่สว่าง ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ผ่องใส ไม่เศร้าหมอง ไม่มีทั้งอวิชชาและวิชชา ไม่มีบัญญัติว่าโลกหรือธรรม
ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตน *****เรา เขา (เพราะสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นสังขาร)
ไม่อาจถูกรู้ได้ทางอายตนะภายใน
ไม่อาจเอาขันธ์ห้าไปหาเขา
ไม่อาจถูกทำลาย
เป็นอมตธาตุ อมตธรรม
*****ใจบริสุทธิ์ ย่อมรู้ใจบริสุทธิ์ หรือ นิพพาน ย่อมรู้นิพพาน
ใจบริสุทธิ์ หรือ หรือจิตบริสุทธิ์ หรือ ธาตุรู้บริสุทธิ์ หรือ นิพพาน ไม่ใช่ความว่าง แต่เป็นความรู้ที่ไม่ปรากฏอาการ ไม่มีตัวตนของผู้รู้ จึงไม่ใช่เราเป็นคนรู้ หรือ ผู้รู้เป็นตัวเรา
เมื่อเป็นความรู้ที่ไม่มีตัวตน จึงเป็นธรรมชาติที่ได้แต่รู้
ไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือ และ ไม่มีตัวตนของผู้ปล่อยวาง
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 2 : กราบค่ะหลวงตา ข้อธรรมด้านบนละเอียดมากค่ะ ทราบเลยค่ะว่าทำไมหลวงตาส่งมาให้พิจารณาเพื่อไม่ให้ประมาท เพราะหนูกำลังเผชิญกับบางสภาวะที่หลวงตาอธิบายมาด้วยค่ะ
ความบริสุทธิ์ของจิต คือการสลัดทิ้งซึ่งการยึดทั้งมวลใช่ไหมคะ
มันจะสลัดคืนเองไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ จนมันหมดเองน่ะค่ะ
แม้นแต่ “รู้” ที่ยัง “รู้” ก็ “แค่รู้” นะคะ เป็นธรรมชาติที่ได้แต่รู้ แบบหลวงตาอธิบายมาน่ะค่ะ
หนูพอแยกได้ค่ะว่า ความเงียบสงัดสงบ ของชั่วขณะของการสิ้นยึดที่เกิดขึ้น ต่างจากความว่างแบบเวลาจิตรวมค่ะ
ช่วงนี้ร่างกายหนูมีอาการดีดสลัดออกมาถี่ยิบมากค่ะหลวงตา เด้งผัวะ ๆ ๆ เลยค่ะ แรงเป็นระลอกเลยค่ะ แปลกมากค่ะ ไม่มีความเจ็บปวดเลยนะคะ แค่มีมาบ่อย ๆ กว่าเดิมมากค่ะ
กราบขอบพระคุณในข้อธรรมด้านบนอย่างเป็นที่สุดค่ะ เมื่อคืนวานหลวงปู่พุทธทาสก็มาโปรดน่ะค่ะ แนวเดียวกับหลวงตาเลยค่ะ
อ้างอิงถึงข้อธรรมท่านพุทธทาส ดังนี้
หลุดพ้นเสียจากความหลุดพ้น หมายความว่า คนเขาหวังความหลุดพ้นก็คิดว่า “หลุดพ้น” แล้วก็ยืดถือในความหลุดพ้น ว่าเขาหลุดพ้นแล้วอย่างนี้ มันจะหลุดพ้นไปไม่ได้ เพราะเขารู้สึกว่ามีตัวตน มีตัวตนเป็นผู้หลุดพ้น เขาก็ยึดถือตัวตนนี้ไว้อีกทีหนึ่ง แล้วเขาก็ยึดถือความหลุดพ้นนั้นว่า เป็นความหลุดพ้นของเขา เขาก็ยึดถือสิ่งที่คิดว่าเป็นความหลุดพ้นนั้นเป็นของเขาอีกทีหนึ่ง มันเลยไม่หลุดพ้น ทั้งจากตัวตนและทั้งจากของตน
ถ้าจะหลุดพ้นกันจริง ๆ ต้องหลุดพ้นจากความมีตัวตนเป็นผู้หลุดพ้น และมีความหลุดพ้นเป็นของตน จิตชนิดนี้ต่างหากเรียกว่าหลุดพ้น มันหลุดพ้นเสียจากความคิดว่าหลุดพ้น หลุดพ้นเสีย จากความคิดว่าตัวกูเป็นผู้หลุดพ้น หลุดพ้นเสียจากความรู้สึกว่าความหลุดพ้นนั้นเป็นของกู
พุทธทาสภิกขุ
#๑๑๑ปีพุทธทาส
ที่มา : ปกิณณกธรรมบรรยาย ครั้งที่ ๔ ธรรมะสูงสุดเมื่อไม่ยึดถือธรรม
๒๔ เมษายน ๒๕๒๕
ที่มา : https://www.facebook.com/AjahnBuddhadasa/photos/a.465014947008316/903293699847103/?type=3
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 2 (ต่อ) : หนูดีใจนะคะ ที่หนูยังคุยกับหลวงตาได้ อย่างสนิทใจแบบญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรัก
ปกติตั้งแต่เด็ก ๆ ก็คงจะมีแต่คุณยาย คุณทวดแม่ชี หลวงปู่ค่ะ ที่หนูจะเล่าอะไรที่แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรมให้ฟังได้ เพราะพูดให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อด้วยค่ะกับหลายสิ่งที่พบเจอค่ะ
บางอย่างหนูก็ยังรู้สึกค่ะว่า ไม่พูดเลยดีกว่าค่ะ
หลาย ๆ ที ที่หนูขอหลวงตาไม่ออกสื่อ จริง ๆ เพราะหนูเองก็ไม่ทราบว่ามันคืออะไรจริง ๆ ค่ะ แม้แต่ในหลาย ๆ ครั้งที่ธรรมจากครูบาอาจารย์ มาแบบเดียวกันเรื่องเดียวกันเลยค่ะ
หนูถึงคิดว่ามันยากที่จะอธิบายทุกอย่างออกมาค่ะ
แต่ก็แอบดีใจทุกครั้งนะคะ ที่หลวงตาเข้าใจในภาษาที่แย่ ๆ ของหนูค่ะ
หนูเข้าใจ “ธรรม” จาก ธรรมชาติจริง ๆ ค่ะ หนูเลยเขียนตามที่มันเป็นน่ะค่ะ คำยาก ๆ หนูยังไม่ค่อยได้น่ะค่ะ
หลวงตาก็ยังเข้าใจหนูได้น่ะค่ะ กราบสวย ๆ ในความอดทนของหลวงตาเลยค่ะ
~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 3 : กราบในเมตตายิ่งของพ่อแม่ครูอาจารย์ครับ
ใจที่บริสุทธิ์ ย่อมรู้จัก ใจที่บริสุทธิ์ เป็นของเขาเช่นนั้นเองนะครับ
~~~~~~~~~~~~~~~
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
2 มกราคม 2563