หลวงตา : ถ้าผู้ใดเห็นสังขารเกิดเองดับเอง ภาษาสมมุติเรียกว่า “พระโสดาบัน” พระอริยสงฆ์ท่านเลยเอามาเขียนว่า พระโสดาบันจะเห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหมดนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา คือเห็นสังขารเกิดเองดับเอง
พวกเราเอะใจมั้ย? พอหลวงตาพูดตรงนี้ย้ำ ๆ พระโสดาบัน ๆ แล้วทำไมไม่เป็นพระอรหันต์ซะที? แล้วพระอรหันต์ต่างตรงไหน?
โยม 4 : มันมีความว่างครับ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไปในความว่าง
หลวงตา : เออ... ใช่ ๆ ๆ นี่แหละ พระโสดาบันท่านมุ่งใส่ใจแต่สังขาร เพราะมุ่งเป้าที่ตัวสังขาร มุ่งเห็นที่ตัวสังขารเกิดเองดับเอง แต่ไม่ได้เห็นภาพรวม ถ้าเห็นภาพรวมจะเห็นว่า สังขารในใจและสังขารในจักรวาลทั้งหมดมันเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ
คือตอนนั้นน่ะมันคล้าย ๆ กับว่าสติปัญญายังไม่แก่กล้า ไม่กว้างไกล มันเลยเห็นได้ทีละจุด เห็นทีเดียวเป็นภาพรวมไม่ได้ เห็นได้แค่สังขารเกิดดับ
แต่พอมีปัญญาแก่กล้าขึ้นเห็นอย่างนั้น ขั้นต่อไปก็ง่ายขึ้นละทีนี้ คือมีสติปัญญาแล้ว ค่อย ๆ สังเกตดู เพราะไม่มีใครหลงปรุงแต่งแล้วไง ก็เลยเห็นสังขารเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดไม่ดับ
เพราะอะไร? พอสังขารเกิดขึ้นปุ๊บ มันต้องเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ
มันเลยเห็นความไม่เกิดดับ อ๋อ... ความไม่เกิดดับก็มีอยู่นี่หว่า แล้วก็ฉลาดขึ้นไปกว่านั้นอีก ไม่ใช่เห็นความไม่เกิดดับอย่างเดียวนะ ฉลาดขึ้นมาว่า ไอ้เนี่ยธรรมชาติทั้งคู่
ความเกิดดับก็เป็นธรรมชาติของสังขาร ความไม่เกิดไม่ดับก็เป็นธรรมชาติของวิสังขาร สังขารจะเกิดดับได้ย่อมเกิดในความไม่เกิดไม่ดับ ถ้าไม่มีความไม่เกิดไม่ดับ ไม่มีความว่างนะ สังขารจะเกิดดับไม่ได้
สังขารที่เป็นสสาร สังขารที่เป็นพลังงานทุกชนิดเคลื่อนที่ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีความว่างรองรับ สิ่งใดที่เคลื่อนที่ได้ เกิดดับได้เป็นสังขารหมด และสังขารทั้งหมดย่อมเคลื่อนที่เกิดดับอยู่ในความว่าง
อ๋อ... ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้เอง และผู้ที่ตั้งใจจะไปดูไปรู้ธรรมชาติสองสิ่งนี้ไม่มีตัวตน มีแต่ “ความรู้แจ้งแก่ใจ” ว่าธรรมชาติสองสิ่งมันคู่กันตลอดเวลา คือสังขารย่อมเกิดดับอยู่ในความว่าง แต่ไม่มีใครไปยึดถือสังขาร และไม่มีใครไปยึดถือวิสังขาร (ความว่างที่ไม่เกิดไม่ดับ และเป็นที่รองรับการเกิดดับของสังขาร) คือไม่มีใครพยายามไปเป็นเจ้าของสังขาร และไม่ใครพยายามไปเป็นเจ้าของวิสังขาร
มันเป็นธรรมชาติของมันเช่นนั้นเอง เป็นธรรมชาติอย่างเก้อ ๆ คือความว่างก็ว่างอย่างเก้อ ๆ สังขารก็เกิดดับอย่างเก้อ ๆ ในความว่าง แต่คนยึดถือไม่มี
ความที่รู้แจ้งแก่ใจว่าคนยึดถือไม่มี มันเลยรู้ว่า ความรู้อย่างนี้ที่ไม่มีคนยึดถือและไม่มีตัวตนของผู้รู้ มันคือนิพพาน และมันสิ้นภพชาติ พ้นทุกข์ ก็เพราะความรู้แจ้ง ความเข้าใจอย่างนี้ว่า...
สังขารทุกชนิดย่อมเกิดดับอยู่ในความว่าง แล้วพอสิ้นอายุขัย สังขารก็ดับไป ความว่างก็กลับคืนไปเป็นความว่างของธรรมชาติ ส่วนความรู้ที่ไม่มีอะไรน่ะ มันเป็นเหมือนความว่าง ความรู้นี้ก็ไปรวมกับความว่าง... เข้าใจตรงนี้รึเปล่าฟังแล้วเดี๋ยวจะคลาดเคลื่อน?
สังขารทุกชนิดในจักรวาลย่อมเคลื่อนไหว โลก ดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ จนถึงเครื่องบิน นก จนถึงพวกเราทุกคน ทั้งร่างกายและจิตใจ อยู่บนผิวโลก หมุนหมดเลย เคลื่อนที่เกิดดับอยู่ในความว่างของจักรวาล นี่คือธรรมชาติ
ทั้งภายนอกเป็นยังไง ภายในตัวเรา ภายในร่างกายจิตใจของเราก็เป็นอย่างนั้น คือสังขารเคลื่อนไหวอยู่ในความว่าง สังขารก็เป็นธรรมชาติฝ่ายเกิดดับ ทั้งในจักรวาลและภายในร่างกายจิตใจของเรา ความว่างก็เป็นความว่างของมันอยู่อย่างนั้นแหละ ทั้งจักรวาลภายนอกและจักรวาลภายใน แต่สิ่งนั้นไม่ใช่นิพพาน
- สังขารก็ไม่ใช่นิพพาน
- ความว่างก็ไม่ใช่นิพพาน
“ความรู้สัจธรรมความจริง” ว่าในสังขารไม่มีตัวเรา ในความว่างก็ไม่มีตัวเรา มันเป็นแต่ “สัจธรรมความจริง” ความรู้สัจธรรมความจริงอย่างนี้ไม่มีตัวตนของผู้รู้ ไม่มีผู้ยึด มันรู้เลยว่าความรู้อันนี้แหละมันเป็นอมตะ
ไม่ใช่ความว่างเป็นอมตะนะ ความรู้อันนี้แหละที่ไม่มีตัวตนของผู้รู้ ไม่มีผู้ยึดเนี่ย เป็นอมตะ เขาจึงเรียกว่า “ธาตุรู้บริสุทธิ์” คือ เป็นความรู้ที่ถูกต้อง ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิอีกต่อไป เป็นความรู้ที่มันพ้นจากอวิชชาไปแล้ว เป็นความรู้ที่ถูกต้องที่ไม่มีตัวตนของผู้รู้ และไม่มีผู้ยึด
สังขารก็เป็นสังขารไป ส่วนความว่างของจักรวาลที่เป็นที่เกิดดับรองรับของสังขาร มันก็คงเป็นความว่างของมันไปอย่างนั้นแหละ เวลาตายแล้วสังขารก็ไปเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ส่วนความว่างก็ไปเป็นความว่างของจักรวาล ส่วนความรู้ที่ไม่มีตัวตน มันก็เลยแทรกซึมไปได้ทั้งในธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ และในความว่าง (ธาตุอากาศ) ความรู้ไม่มีตัวตนเลยอยู่ได้ทุกที่
ความรู้ที่ถูกต้องที่ไม่มีตัวตนของผู้รู้และไม่มีตัวตนของผู้ยึดนี้เรียกว่า “ธาตุนิพพาน”
แต่คนที่ฟังไม่ดีเนี่ยเข้าใจผิด สังขารมันเป็นสิ่งไม่ดีเพราะมันเกิดดับ เราไปจับความว่าง ไปรังเกียจสังขาร และเราไปเอาจักรวาล ไปยึดถือความว่างของจักรวาลเป็นนิพพาน
ความว่างมันไม่ใช่นิพพาน มันเป็นที่รองรับการเกิดดับของสังขาร มันเป็นธรรมชาตินะ สังขารน่ะเป็นธรรมชาติฝ่ายเกิดดับ แต่ความว่างเป็นธรรมชาติที่ไม่เกิดดับ และเป็นที่รองรับการเกิดดับของสังขาร
เพราะว่าถ้าไม่มีความว่าง สังขารมันเคลื่อนไหวไม่ได้ มันเลยต้องมีธรรมชาติของความว่าง ให้สังขารเกิดดับในความว่าง แต่ความว่างไม่ใช่นิพพาน
เราขอพูดย้ำ ๆ ว่า... “ความว่างไม่ใช่นิพพาน”!!!
เพราะอะไร?... ที่เขาไปสอนกันว่าเอาตัวเราเข้าความว่าง นิพพานไปเลย... ไม่ใช่!!! อันนั้นมันเข้าใจผิด
ความว่างไม่ใช่นิพพาน ความว่างเป็นอวกาศ (อากาศธาตุ) ความว่างภายนอก ความว่างภายในมันเป็นอวกาศ มันไม่ใช่นิพพาน มันเป็นที่เกิดดับของสังขาร ความรู้ที่ถูกต้องอันนี้แล้วไม่มีตัวตนของผู้รู้ และไม่มีผู้ยึด ธาตุรู้อันนี้เขาเรียก นิพพาน
“ธาตุรู้บริสุทธิ์” เรียกว่า “นิพพาน”
แต่ไม่ใช่เอาความว่างเป็นนิพพาน!!!
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากสนทนาธรรมกับคณะศิษย์
ณ พุทธธรรมสถานปัญจคีรี
วันที่ 31 ธันวาคม 2562
~~~~~~~~~~~~~~~~