หลวงตา : เวลาคนเข้าใจผิด ปฏิบัติผิดทำยังไง... นิพพานแล้วว่างเปล่า ไอ้ที่นิพพานแล้วว่างเปล่ามันเป็นอะไร?... เป็นอวกาศ แล้วเข้าใจว่าอวกาศคือนิพพาน เขาจึงไปสอนกันคอร์สเดียวบรรลุนิพพาน เพราะว่าเขาสร้างอวกาศขึ้นมา แล้วอวกาศนั้นเป็นนิพพาน แล้วเอาตัวเราเข้าความว่างนิพพานไปซะเลย
เพราะฉะนั้น ความว่างที่เป็น “ความรู้สึกว่าง” (ซึ่งเป็นสิ่งเกิดดับ) เป็นความว่างที่สร้างขึ้น หรือมโนเอา ไม่ใช่เป็น “ความว่างที่เป็นที่เกิดดับของสังขาร”
เพราะอะไร? คุณยังไม่เคยเห็นความเกิดดับของสังขาร เกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับเลย คุณยังไม่เห็นอันนี้เลยนะ... ว่าสังขารน่ะมันเกิดดับในความไม่เกิดดับ แต่อยู่ ๆ คุณก็ “สร้างความว่าง” แล้วเอา “ตัวเรา” เข้าไปความว่างนิพพานซะ
โยม 5 : ความว่างอันนี้ยังเป็นสังขารใช่มั้ยคะ?
หลวงตา : เป็นสังขาร... น่าสงสารมากเลยคนที่ปฏิบัติแบบนี้ เชื่อแบบนี้ แล้วเรียนแบบนี้
คนที่เชื่อแบบนี้ ทำแบบนี้ ว่างเปล่า... ตอนขณะดับจิตสุดท้ายก็มีคนสอนเขาแบบนี้ว่า เอาตัวเราเข้าความว่างนิพพานไปซะ...
มันก็เลยมี “ตัวเรา” คาอยู่ในความว่างที่สร้างไว้ พอดับจิตสุดท้ายก็เลยมี “ตัวตนของเรา” เป็นกายโปร่งแสงกระเด็นออกมานอกร่าง ต้องไปรับกรรมต่อไป
คนที่ทำแบบนี้แล้วไปสอนคนอื่นผิดต่อ ๆ ไปอีก มันจะเป็นกรรมขนาดไหน กรรมที่มาขวางตัวเองทำให้ไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน และก็ทำให้ตัวเองเป็นคนโง่ตลอดอนันตกาลเลย เพราะว่าไปสอนให้คนเห็นผิดอีกจำนวนมาก ทำให้คนเข้าใจผิดในพระธรรม บาปกรรมหนักเลย... ด้วยความไม่รู้ พาเขาผิดทาง!!!
พอสอนเขาผิดทาง เลยกลายเป็นว่ากรรมนี้มาตกกับใคร? ตกกับพวกที่ไปเชื่อตามและไปปฏิบัติด้วย ติดข้ามภพชาติเลยทีนี้ คือเอาตัวเราเข้าความว่างนิพพาน พอตายแล้วไปเกิดใหม่ก็แช่อยู่ในความว่าง เป็นออทิสติก (Autistic) ดาวน์ซินโดรม (Down’s syndrome) เพราะไปสร้างห้องว่างไว้
แล้วคนสอนน่ะหนักกว่าเค้าเลยทีนี้ ปฏิบัติธรรม ฟังธรรมมันจะกลับหัวกลับหางตลอด เราพูดอย่างหนึ่ง เข้าใจอีกอย่างหนึ่ง เราพูดอย่างก็จะไปอีกอย่าง มันจะเข้าใจกลับหัวกลับหางตลอดเวลา เพราะอะไร? ด้วยผลของกรรม!!!
แม้แต่ในคิริมานนทสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า... ถ้าไม่รู้จริง ไม่รู้ทางจริงแล้วไปสอนเขาน่ะ กรรมหนักมากนะ... กรรมหนักมาก
คนที่ไปสอนเค้าผิด ตัวเองก็เลยฟังธรรมผิด ๆ พลาด ๆ เพี้ยน ๆ เพราะว่าไม่เข้าใจความจริง ไม่เข้าใจเลยว่าสังขารเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ ทั้งความเกิดดับที่เป็นสังขารทั้งหมดก็ไม่ใช่นิพพาน ขันธ์ห้าทั้งหมดมันเป็นสังขาร มันไม่ใช่นิพพาน สังขารเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับที่เป็นอวกาศ มันก็ไม่ใช่นิพพาน
ความรู้ที่ถูกต้องว่ามันมีธรรมชาติที่สังขารที่เกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ แต่ตัวตนของเรามันไม่มีหรอก ความคิด ความรู้สึกเป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา เป็นของของเราเนี่ย มันไปเป็นพวกเดียวกับสังขารซะ
ธรรมชาติมีแค่สองอย่าง ทั้งภายนอกและภายในใจเรา คือธรรมชาติของสังขาร คือที่เกิดดับได้ ทั้งสสารและพลังงานเป็นธรรมชาติที่เกิดดับ และเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ ซึ่งเป็นอวกาศ... อวกาศภายในจิตและอวกาศภายนอก ทั้งสังขารและอวกาศไม่ใช่นิพพาน อวกาศไม่ใช่นิพพานนะ ความว่างไม่ใช่นิพพานนะ
สัจธรรมความจริงมีแค่สองอย่าง มีสังขารเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ แต่เวลาปฏิบัติเข้าจริงมี “ตัวเรา” อีกหนึ่ง แล้วตัวเราจะอยู่ตรงไหน? ธรรมชาติมีแค่สังขารเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ แล้วตัวเราล่ะ... ตัวเราอยู่ตรงไหน? มันก็เกินธรรมชาติมาน่ะสิ!!!
พอตายแล้วเลยคืนธรรมชาติ เหลือแต่ธรรมชาติ เป็นธรรมชาติไม่ได้ เพราะอะไร? ก็เพราะว่ามี “ตัวเรา” เป็น “ส่วนเกินธรรมชาติ” มาไง
ที่ถูกน่ะตายปุ๊บต้องดับหมด! แล้วเหลือแต่ความรู้ที่ถูกต้องว่า... ทั้งสังขารและวิสังขารไม่มีตัวเราอยู่ในนั้น
เพราะฉะนั้นวิธีแก้คืออะไร? ความคิด ความรู้สึกเป็นเรา เป็นตัวเราเนี่ยก็ให้มันเป็น “สังขาร” ซะ มันก็เป็นสังขารจริง ๆ เพราะว่าเอาสังขารมาปรุงมาคิดว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา ของเราได้ถึงจะเป็นสังขาร
เมื่อเราเห็นความจริงอย่างนี้ก็ไม่ยากเลย เมื่อไหร่มันคิดเป็น “เรา ตัวเรา ตัวตนของเรา” ก็เห็นมันเป็นสังขารซะ แล้วมันก็กลายเป็นไอ้ความคิดว่าเป็นเรา ตัวเรา ของเรามันก็เป็นสังขารเกิดดับในความไม่เกิดไม่ดับ... ก็เหลือสองอย่างแค่นั้น ก็เหลือแต่ “รู้ความจริง” ว่ามีสองอย่างแค่นั้น
“ตัวเรา” เกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ไม่ต้องไปวอรี่ (worry หมายถึง กังวล) กับมันเลย เพราะมันเป็นสังขาร ก็ง่าย ๆ
โยม 5 : ก็ง่าย ๆ มันอยากคิดก็ปล่อยมันเป็นสังขารไปนะเจ้าคะ
หลวงตา : มันอยากคิดว่าเป็นเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา ไม่ต้องไปห้ามมันเลย... หนูชอบคิดถึง หนูชอบคิด... ฯลฯ ไอ้หนู ๆ ๆ มันเป็นอะไร?... เป็นสังขาร ก็จบเลยถ้ามันเข้าใจตรงนี้
มันเป็นสังขารเพราะธรรมชาติมีแค่สองอย่าง แล้วเราจะผลักเอาตัวหนู ตัวผม ตัวเรา ไปเป็นวิสังขารก็ไม่ได้ เพราะวิสังขารเป็นความไม่เกิดไม่ดับ ไม่มีอะไร ต้องผลักภาระมันเป็นอันเดียวคือสังขาร ไอ้ความเป็นเรามันก็เลยหมดไป
เลยเหลือแต่ความรู้ที่ถูกต้องว่าสังขารมันเกิดเองอยู่ในความไม่เกิดไม่ดับ คนยึดไม่มี แล้วมันก็รู้ว่า.. ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ก็เพราะตรงความรู้อันนี้
“ความรู้ที่รู้สัจธรรมความจริงโดยไม่มีตัวตนของผู้รู้และไม่มีผู้ยึด” เขาเรียก “นิพพานธาตุ”
ไม่ใช่มีตัวเราไปเป็นสภาวะนิพพาน มีตัวเราที่รังเกียจสังขาร มีตัวเราเอาตัวเราเข้าความว่างนิพพานไปซะ... ไม่มี!!!
เอ้า... เมื่อกี๊จะยกมือถามอะไร? รู้มั้ยที่ยกมือเป็นอะไร?
โยม 6 : เป็นสังขารค่ะ
หลวงตา : แล้วยกมือในอะไร
โยม 6 : ในความว่างค่ะ
หลวงตา : ไอ้มือที่ยกมันก็เกิดดับ แล้วมันเกิดดับในไหน? ในอวกาศ ในความว่าง แต่ทั้งที่ยกมือและในอวกาศไม่ใช่นิพพาน ไม่มีตัวเราเป็นคนยกมือ แม้แต่คิดว่ามีตัวเราไปยกมือมันก็เป็นสังขาร เอ้า... จะถามอะไร? ถามอะไรก็สังขารทั้งนั้นแหละ
ใครเป็นคนถาม?... ตัวเราถาม ถามเพื่อต้องการให้ใครรู้เรื่อง?... ต้องการให้เรารู้เรื่อง.. อย่างนี้มันจะมีตัวเราเกินธรรมชาติมาอีกหนึ่ง
ใครเป็นคนถาม?... หนูถาม ถามเพื่อใคร?... ถามเพื่อตัวหนู แต่ที่จริงน่ะ ไอ้หนูจะถามก็เห็นว่ามันเป็นสังขารทันที จะถามเพื่อใคร? เพื่อตัวหนูก็ให้เห็นว่าเป็นสังขาร มันก็เลยมีแค่ธรรมชาติสองอย่าง ไม่เหลือเป็นตัวหนูเป็นสามอย่าง เข้าใจมั้ย?
โยม 6 : หมดคำถามค่ะ
หลวงตา : ถึงถามก็หลงสังขาร มีตัวหนูอีก เห็นมั้ย?
นี่แหละ... เข้าใจสัจธรรมความจริงแล้ว ตรงนี้เอาให้ชัด ๆ ให้ถึงใจ ความทุกข์อยู่ที่ไหน ความดับทุกข์ก็เกิดตรงนั้น ไม่ใช่เราทุกข์อยู่แล้วไปพิจารณาพุทโธ ๆ ๆ เพื่อให้มันหายทุกข์ มันคนละเรื่อง... เอวัง
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากสนทนาธรรมกับคณะศิษย์
ณ พุทธธรรมสถานปัญจคีรี
วันที่ 31 ธันวาคม 2562
~~~~~~~~~~~~~~~~