หลวงตา : ธรรมชาติที่มันรู้จิตขึ้นมาเอง มันก็เหมือนกับรู้ว่าตัวเรานั่งอยู่น่ะ
ถ้าเราพบ “ความรู้ที่มันรู้ขึ้นมาเอง” โดยไม่ต้องมีเจตนารู้ เหมือนกับรู้ว่าตัวเรานั่งอยู่เนี่ย เราพบความรู้อันนี้... รู้อะไร?
ก็รู้ว่า... สังขารมันเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ... แต่ความรู้นี้มันก็รู้เหมือนที่รู้ว่าเรานั่งอยู่ คือเป็นความรู้ที่ไม่ได้ต้องมีเจตนา แต่ความรู้ว่าเรานั่งอยู่เนี่ย มันยังไม่พ้นทุกข์ เพราะมันยังรู้หยาบอยู่ แต่มันไปพบว่าเป็นความรู้เดียวกัน
เพราะว่าความรู้ที่รู้ว่าตัวเรานั่งอยู่เนี่ย มันเป็น “ความรู้ที่ไม่ต้องการเจตนา” แต่มันจะพ้นทุกข์ต้องเห็นความเกิดดับอยู่ในความไม่เกิดดับ
ที่ท่านกล่าวว่า... “พระโสดาบัน” เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา... ทำไมถึงกล่าวแบบนี้ล่ะ? ก็เพราะว่าตอนที่โกณฑัญญะฟังธรรมพระพุทธเจ้า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร พระพุทธเจ้าตรัสเทศน์ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรจบ โกณฑัญญะรำพึงขึ้นมาเลยว่า...
“ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ” (ยัง กิญจิ สมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ) สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมา สิ่งทั้งหมดนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา
หรือว่าพูดภาษาเราก็คือ “สังขารทั้งหมดเกิดเองดับเอง” เกิดเอง ดับเอง... อย่างนี้ บรรลุพระโสดาบันเลย
ฉะนั้น พวกท่านปฏิบัติกัน ถ้าท่านเห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเองและดับเอง เกิดเองดับเอง นี่เรียกว่าที่สุดของการพิจารณาแล้ว คือบรรลุธรรมขั้นพระโสดาบัน เรียกว่าตกกระแสที่จะนิพพาน คือเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นมาเป็นธรรมดา สิ่งใดถ้าเกิดได้ สิ่งนั้นย่อมดับได้ และมันเกิดเองดับเอง ไม่มีใครทำเกิด และไม่มีใครทำดับ
ภาษาพระเรียกว่า “ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ” (ยัง กิญจิ สมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ) แต่ภาษาเราน่ะ เราพูดง่าย ๆ ว่ามัน “เกิดเองดับเอง” ไม่มีใครไปทำเกิด ไม่มีใครไปทำดับ และไม่มีใครไปเจตนาดูมัน
เมื่อท่านเห็นความเข้าใจตรงนี้ด้วยใจของท่านพร้อมกัน คือเห็นว่าสังขารเกิดเองดับเอง และไม่มีใครที่จะเจตนาไปดูมัน
เพราะว่าเมื่อไหร่ที่เราหลงไปเจตนาดู ก็ง่ายนิดเดียว เราก็เห็นว่าขณะจิตที่หลงไปมีเจตนาดู ให้เห็นว่าตัว “เจตนาที่จะเข้าไปดู... เป็นสังขาร”
เพราะธรรมชาติที่มันรู้ว่าเรานั่งน่ะ มันรู้โดยไม่ต้องเจตนา แต่ถ้าเราไปรู้จิตโดยที่มีเจตนาแสดงว่ามันไม่ใช่เป็นธรรมชาติที่มันรู้ขึ้นมาเอง แต่เป็นสังขารรู้ แต่ก็ไม่ยากคือเห็นว่า “ตัวเจตนารู้เป็นสังขาร” ก็แค่นั้น แล้วท่านก็เห็นว่า สังขารเกิดเองดับเอง โดยที่ไม่มีเจตนาที่จะเข้าไปดูมัน
แม้ไม่มีเจตนาจะเข้าไปดูมัน แต่ก็ไม่ใช่ฟุ้งซ่าน แต่ขณะนั้นมันไม่มีเรื่องราวอะไรในใจเลย
คนอื่นไม่รู้นะ แต่ของหลวงตาจากประสบการณ์ตรง คือเห็นได้ในสองอิริยาบถ ในอิริยาบถอื่นหลวงตาก็ไม่เห็น แต่เห็นมันแล้วก็เอามาใช้ในอิริยาบถอื่นได้ แต่หลวงตาต้องเริ่มต้นเห็นมันจากอิริยาบถที่เรานั่งส้วม กับนอนตะแคงขวา (สีหไสยาสน์)
คือขณะนั้นไม่มีเจตนาจะทำอะไร และไม่มีเรื่องอะไรมาอยู่ในใจ ไม่ได้ฟุ้งซ่านไปกับอะไร และไม่คิดจะกำหนด ไม่คิดที่จะไปแยกแยะพิจารณากาย หรือไปกำหนดหนอ ๆ ๆ หรือพุทโธ ๆ ๆ อะไร หลวงตาไม่เคยทำ
ก็นอนตะแคงขวา ยังไม่หลับก็ปล่อยให้สังขารมันเกิดเองดับเอง เกิดเองดับเองของมันไปเรื่อย พอสังขารเกิดเองดับเองของมันแค่นั้นน่ะ ทำไมใจมันว่างแบบนี้เนี่ย มันว่างเปล่าไปหมดเลย จึง “พบใจ”
อ๋อ... พบใจพบธรรม มันแบบนี้นี่เอง ใจมันว่างไปหมดเลย มันว่างแบบบอกไม่ถูกเลย มันว่างไปหมดเลย มัน...ว๊าบไปหมดเลย ไปเป็นหนึ่งเดียวกับความว่างของจักรวาลเลย ฮึ่ย... ทำไมเป็นอย่างนี้หว่า ก็รู้แก่ใจแบบนี้
อ๋อ... ความพ้นทุกข์อยู่ตรงนี้เอง นิพพานก็อยู่ตรงนี้ ความสิ้นภพชาติทั้งหมดก็อยู่ตรงนี้ อ๋อ... มันรู้ขึ้นมาเลยว่าอยู่ตรงนี้
และเวลานั่งส้วมก็เหมือนกัน ตอนนั่งส้วมเนี่ยมันจะปลดทุกข์อย่างเดียว มันไม่คิดจะฝึกจิต ไม่คิดจะทำอะไร ชื่อมันก็บอกแล้ว “ปลดทุกข์” แล้วไม่ต้องกำหนด ไม่ต้องพุทโธอะไร ไม่ต้องพิจารณากาย ไม่ต้องกำหนดหนอ ๆ อะไรเลย นั่งส้วมอย่างเดียว เดี๋ยวสังขารก็เกิดเองดับเองเลย เพราะมันไม่มีเรื่องฟุ้งซ่านและไม่เอาเรื่องโลก ๆ มาคิด
นอกจากนอนตะแคงขวา (สีหไสยาสน์) กับ นั่งส้วม อิริยาบถอื่นมันไม่เห็นว่าสังขารเกิดเองดับเอง เพราะอะไร? พอไปอยู่ในอิริยาบถอื่นมัน “ทำ” หมดเลย มันจะทำให้มันเป็น มันจะดูให้เห็น มันจะดูให้รู้... ให้ได้!!!
ทั้ง ๆ ที่เข้าใจหมดเลยว่าไม่ต้องกำหนด ไม่ต้องพิจารณา ไม่เอาเรื่องอะไรมาฟุ้งซ่านแล้วนะ แต่พอออกจากส้วมมาปุ๊บ แค่นั้นแหละทำเลย มันทำจนชิน... มันอดไม่ได้ที่จะทำ
แต่พอเราเห็นหน้ามัน (คือสังขารเกิดเองดับเอง) บ่อย ๆ ปุ๊บ เราก็จำได้ว่ามันเป็นแบบนี้ หลวงตาก็สงสัยว่า ทำไมพระพุทธเจ้าต้องให้นอนสีหไสยาสน์ ใครนอนหงายไปเลยคือคนประมาท เพราะอะไร? เราลองแล้วนอนหงายดู... หลับคร่อกล่ะซิ... พอนอนหงายหลับครอกไปไม่เห็นเลย หลับง่ายมากเลย มันสบายแล้วไม่เห็นอะไรเลย นอนสีหไสยาสน์มันก็เมื่อยแขน มันเลยนอนไม่ค่อยหลับ มันเลยเห็นสังขารเกิดเองดับเองไปเรื่อย
เมื่อสังเกตเห็นสังขารเกิดดับ (ติ๊กต่อก ๆ ๆ ๆ) อยู่ในความไม่เกิดดับ อ๊ะ... ใจมันว่างไปหมดเลย ไม่ใช่ว่าไปหมายเอาตรงใจว่าง แต่เพราะ...
“ใจมันว่างเกิดจากเหตุว่า เห็นสังขารเกิดดับแล้วไม่มีใครไปยึดถือมัน”
ใจมันเลยว่างไปหมดเลย ไม่ใช่ไปหมายเอาตรง “ใจว่าง” นะ คนฟังเราแล้วก็ไปแปลผิดเรื่อย คือแปลเข้าข้างตัวเองหมดน่ะ คือให้เห็นว่าสังขารมันติ๊กต่อก ๆ ๆ เกิดดับ แต่กลับไม่เอา ไม่เห็นสังขาร ไปเอาตรงว่าง... หมายเอาตรงความว่างเลย
แต่หัวใจมันอยู่ตรงที่ เห็นสังขารมันเกิดเองดับเอง “ยังกิญจิ สมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ”
พระพุทธเจ้ามีพระญาณหยั่งรู้เลยว่า... อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ... เดิมชื่อ “โกณฑัญญะ” นะ “อัญญา” แปลว่ารู้แจ้ง อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ... โกณฑัญญะรู้แจ้งแล้วหนอ บรรลุพระโสดาบันเลย
พระโสดาบันเห็นอย่างเดียว สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหมดนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา สังขารเกิดเองดับเอง โดยไม่มีคนเจตนาไปดูมัน และไม่ใช่เจตนาไปทำสังขารขึ้นมา คือหาเรื่องอะไรมาคิด หาเรื่องอะไรมาพิจารณาก็ไม่ใช่ มีแต่สังขารเกิดเองดับเอง ไม่มีใครเจตนาดูมัน ไม่มีใครไปยุ่งกับสังขาร
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากสนทนาธรรมกับคณะศิษย์
ณ พุทธธรรมสถานปัญจคีรี
วันที่ 31 ธันวาคม 2562
~~~~~~~~~~~~~~~~