หลวงตา : คำถามทั้งหมดน่ะมันเกิดเองดับเอง ไม่มีใครไปทำเกิด และไม่มีใครไปทำดับ มันเกิดเองดับเอง เกิดเองดับเอง
แต่สิ่งเกิดดับใด ๆ ทั้งหมดน่ะ ย่อมเกิดดับอยู่ในธรรมชาติที่ไม่เกิดไม่ดับ ซึ่งมันเป็นเหมือนความว่างของธรรมชาติ เพราะว่ามันเป็นเรื่องของสัจธรรมความจริง คือทุกสรรพสิ่งถ้าเคลื่อนไหวได้ ย่อมเกิดดับได้
- สิ่งใดเคลื่อนไหวได้... ย่อมเกิดดับได้
- สิ่งใดเคลื่อนไหวได้... ย่อมเคลื่อนไหวอยู่ในความว่างที่ไม่เกิดไม่ดับ
- นี่คือ “สัจธรรมความจริงของธรรมชาติ”
“ความว่างที่ไม่เกิดไม่ดับ” ไม่ใช่เป็นความรู้สึกว่างนะ เป็นความว่างที่ไม่ใช่เป็นความรู้สึก เพราะ “ความรู้สึกว่างเป็นสิ่งเกิดดับ” สิ่งใดเคลื่อนไหวได้ย่อมเคลื่อนไหวอยู่ในความเกิดดับ นี่คือเราพูดถึงหยาบ
ถ้าพูดถึงหยาบขึ้นไปอีก ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้เคลื่อนไหวหมดเลย โลก ดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ อุกกาบาต เครื่องบิน จรวด นก หนอน แมลงที่บินอยู่ในท้องฟ้าในจักรวาลนี้ เป็นสิ่งเคลื่อนไหวหมดเลย ถ้าไม่มีจักรวาลเป็นความว่างรองรับ จะเคลื่อนที่ไม่ได้ หมุนไม่ได้ เครื่องบินก็บินไม่ได้ นกก็บินไม่ได้ มันมีความว่างในจักรวาลนี้ ทุกสรรพสิ่งจึงหมุนได้
ทุกสรรพสิ่งล้วนเคลื่อนไหว รวมทั้งพวกเราทุกคน (ทั้งร่างกายและจิตใจ) ที่อยู่บนผิวโลก ก็หมุนไปตามลูกโลก เลยกลายเป็นเคลื่อนไหวอยู่ในความว่างของจักรวาลที่ไม่เกิดไม่ดับ
ย่อเข้ามาในตัวเราก็เหมือนกัน ร่างกายเป็นสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ ปากพูดได้ จิตใจเคลื่อนไหวเกิดดับได้ ย่อมเคลื่อนไหวอยู่ในความไม่เกิดดับ เคลื่อนไหวอยู่ในความว่าง ถ้าไม่มีความว่างเคลื่อนไหวไม่ได้
สังขารในร่างกายเรามีสามอย่าง คือ กายสังขาร วาจาสังขาร และจิตตสังขาร
“กายสังขาร” คือ ตัวเราเคลื่อนไหว หันซ้าย หันขวาได้ มือหลวงตาเคลื่อนไหวได้ เพราะมันมีความว่าง ทุกสรรพสิ่งเคลื่อนไหวได้ย่อมมีความว่างที่ไม่เกิดไม่ดับ ถ้าเอามือหลวงตาไปยัดใส่ตึก พอยัดใส่ตึกได้ เคลื่อนไหวได้มั้ย? ไม่ได้เพราะไม่มีความว่าง
ร่างกายเรานี่ยังเคลื่อนไหวอยู่ได้ เลือดลมในร่างกายเรายังเดินอยู่ได้ หัวใจยังเต้นได้ เกิดดับได้เพราะมีความว่าง ถ้าไม่มีความว่าง หัวใจเต้นไม่ได้ เราตายไปนานแล้ว เพราะว่ามันมีความว่างในตัวเรา หัวใจจึงเต้นได้ เซลล์ทุกเซลล์มีการเปลี่ยนแปลงเพราะมีความว่าง
“วาจาสังขาร” ปากพูด ๆ ๆ ๆ ออกไป แต่ที่จริง ๆ น่ะ ความคิดตรึกตรองเป็นตัวปรุงแต่งก่อนที่จะพูดออกมา ความคิดตรึกตรองเป็นเครื่องปรุงแต่งวาจา มันจะคิดตรึกตรองได้ก็ต้องมีความว่าง ปากพูด ๆ ๆ แต่ถ้ารอบปากไม่มีความว่างพูดได้มั้ย? ไม่ได้...
“จิตตสังขาร”... ทุกชนิดที่แสดงอาการเรียกว่า “จิตตสังขาร” หมด ที่มันมีอาการเคลื่อนไหวเกิดดับได้เรียกว่าสังขารหมด สังขารรวมทั้งสสารและพลังงานล้วนเกิดดับอยู่ในความว่างของจักรวาล
พลังงานในจักรวาล อย่างคลื่นโทรศัพท์ที่ส่งไปก็เป็นพลังงาน ในร่างกายเราก็มีพลังงาน (energy) เคลื่อนที่ ปากเราพูดก็ต้องมีพลังงาน จิตใจเคลื่อนที่ได้เพื่อให้เกิดพลังงาน ถ้าไม่มีอะไรเคลื่อนที่... ตายเลย ร่างกายเคลื่อนที่จึงมีพลังงานตลอด
ปากเคลื่อนที่ทำให้เกิดพลังงาน จิตใจเคลื่อนที่ทำให้เกิดพลังงาน เลยทำให้ชีวิตดำเนินไปได้ เพราะว่ามีพลังงาน แต่ทั้งร่างกาย สสาร และพลังงาน ทั้งหมดเคลื่อนที่อยู่ในความว่าง
ดังนั้น ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ ที่เป็น “นาม” เนี่ย มันเคลื่อนที่อยู่ในความว่าง สรุปแล้วทุกอย่างที่เคลื่อนที่ได้ เกิดดับได้ เป็นสังขารหมด เรียกชื่ออันเดียวว่า “สังขาร” ทั้งรูป และ นาม และ พลังงาน (energy) เคลื่อนที่อยู่ในความว่าง
มีความว่างหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ไม่เคลื่อนที่ ไม่เกิดไม่ดับ ไม่ใช่ความรู้สึกว่าง เป็นความว่างที่ไม่ปรากฏการเคลื่อนที่ ไม่เกิดไม่ดับ ไม่เปลี่ยนแปลง
“ความรู้สึกว่าง” คือ เดี๋ยวว่าง เดี๋ยวก็ไม่ว่าง ยังเป็นการสลับสับหน้าได้ ยังเป็นสังขาร แต่ “ความที่ไม่มีอะไรเกิดดับ” มันเคลื่อนที่ไม่ได้
ฉะนั้น ทุกปัจจุบันขณะ ถ้าท่านรู้ด้วยปัญญาของท่านจริง ๆ “ปัญญาใจ” เห็นจากใจ รู้จากใจจริง ๆ ว่าภายในใจของเรา มันมีสังขารที่เกิดเองดับเอง เกิดเองดับเอง ไม่ว่าจะสังขารหยาบ ปานกลาง ละเอียด จนถึงขั้นปรมาณู และเร็วที่สุดปานใดก็ตาม แต่มันก็เป็น...
“สังขารที่เกิดเองดับเองในใจ”
*ส่วน “ใจแท้ๆ” เป็นธาตุรู้บริสุทธิ์ หรือ เป็นธรรมชาติรู้ ถ้าสิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน จะไม่เกิดดับไปตามสังขาร เพราะมันเป็นธรรมชาติที่มีคุณสมบัติเป็นเหมือนกับความว่างของธรรมชาติ มันมีแต่ “ความรู้” แต่ไม่มีตัวตนของผู้รู้ ไม่ปรุงแต่ง (เป็นวิสังขาร อสังขตธาตุ หรือ อสังขตธรรม)
มันไม่มีรูปพรรณสัณฐานใด ไม่มีสี ไม่มืด ไม่สว่าง ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่มีเครื่องหมาย ที่หมาย หรือ สัญลักษณ์ใด ไม่ใช่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ (ความว่างที่ไม่มีความรู้) ไม่ใช่รูปฌาน ไม่ใช่อรูปฌาณ ไม่มีการเกิดดับ ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการหยุดนิ่งอยู่
ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
มันไม่ได้เป็นของเรา และ ไม่มีเรา หรือ ตัวเราอยู่ในมัน
มันจึงได้แต่รู้ว่าไม่มีตัวตนไปยึดถือใจ หรือ ไปยึดถือสิ่งใดให้เป็นทุกข์ได้ จึงมีชื่อเรียกมันว่า “นิพพาน”
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากสนทนาธรรมกับคณะศิษย์
ณ พุทธธรรมสถานปัญจคีรี
วันที่ 31 ธันวาคม 2562
~~~~~~~~~~~~~~~~