โยม 2 : หลวงตาเทศน์เมื่อกี้บอกว่า จริง ๆ แล้วธาตุรู้มันอยู่ในอากาศธาตุ แทรกอยู่ในทุกอณู
ผมก็เลยมานั่งคิดว่า เอ๊ะ ... ถ้ามันแทรกอยู่ในทุกอณู ถ้ามันไปอยู่ในระหว่างเม็ดเลือด ... สมมุตินะครับ มันก็น่าจะรู้ว่าถ้าเกิดเม็ดเลือดผิดปกติ หรือระบบในร่างกายผิดปกติมันก็น่าจะรู้
ถ้าอย่างนี้ก็แสดงว่า ... ไม่ใช่
ความรู้ก็คือรู้ว่ามันเป็นหลง รู้ว่าอวิชชา รู้ตัวมันเองว่าเป็นอวิชชา ไม่รู้อย่างอื่นเลย
หลวงตา : ถ้าไปรู้อย่างอื่นเป็นอายตนะ
ที่เราบอกว่า รู้จัก รู้จากใจ รู้จักตัวมันเอง
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 3 : สิ่งที่รู้ที่เห็น ก็คือมันเป็นวิญญาณขันธ์ ขาดจากผู้ที่ยึดถือเท่านั้นเอง มันก็ใช้ความรู้นี้ ในการทำให้มันพ้นทุกข์ แต่เพียงไม่ยึดถือ หมายถึงว่ารู้ที่มันเป็นของสังขาร
หลวงตา : รู้ตามอายตนะ ... เป็นขันธ์ห้า
โยม 3 : รู้ตามอายตนะ มันเป็นสังขารเป็นขันธ์ห้า แต่ไม่ยึดถือรู้ตัวนี้เท่านั้นเองที่จะทำให้พ้นทุกข์
หลวงตา : พอไม่ยึดถือตัวนี้แล้ว มันก็จะไปเป็นใจ เป็นใจที่พ้นอายตนะ พ้นขันธ์ห้า แต่ใจนี้จะยังไม่บริสุทธิ์
โยม 4 : ขนาดว่ามันเป็นใจแล้ว แต่ใจมันก็ยังไม่บริสุทธิ์
หลวงตา : เป็นใจที่ยังไม่บริสุทธิ์
ไม่บริสุทธิ์เพราะว่ามันเป็นใจที่มันมี "อวิชชา" ติดมา ก่อนที่มันจะมารวมกับขันธ์ห้า
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 3 : เหมือนอวิชชามันหดลงมาชั่วคราวหรือเปล่าครับ เวลาไม่ยึดถือ มันเหมือนหดชั่วคราว แล้วก็ยึดใหม่มันก็มีมาใหม่ ก็เกิดขึ้นมา
หลวงตา : ก็คือว่า มันรู้หมดเลย รู้เข้าใจหมดว่านี่ขันธ์ห้า อะไรที่สังขารได้เป็นขันธ์ห้าหมด แล้วมันก็รู้ว่ามันไม่ใช่ขันธ์ห้า แต่... เราเนี่ยคือเป็นคนรู้เอง เราเป็นคนรู้ทุกอย่างเลย
เรารู้แล้วว่าสังขารทุกปัจจุบันขณะ อายตนะทั้งหมด มันเป็นสังขารทั้งหมดเลย
แต่ความรู้อย่างนี้มันกลายเป็นว่ามันเป็น "เรารู้"
ไม่ใช่รู้ตามอายตนะ แต่เป็นความรู้ออกมาจากใจว่าเนี่ยมันไม่ใช่เลย มันเป็นใจ ไอ้เนี่ยมันเป็นสังขาร นี่เป็นใจไม่สังขาร แต่ความรู้อันนั้นน่ะยังเป็นเราอยู่ ยังเป็นอวิชชาเหมือนเดิม
เพราะว่า มันเป็นอวิชชาที่มารวมกับขันธ์ห้า พอเวลามันรู้ในขันธ์ห้า ถึงแม้มันจะไม่ได้เป็นขันธ์ห้าแล้ว มันก็ยังเป็นความรู้ที่เป็นอวิชชา
คือวิญญาณ หรือ จิต ที่บวก "อวิชชา"
โยม 3 : คือ ถ้าหลงไปรองรับอันนั้นมันก็คือหลง
หลวงตา : ก็หลงไปเป็นความรู้ที่มัน "มีเรา" นั่นแหละ
ก็เลยยังเป็น "จิตอวิชชา" พอตายแล้วขันธ์ห้าดับ ความรู้อันนี้มันกลายเป็นตัวเราออกไปอีก
เพราะว่าตัวเราเป็นคนรู้ "ผู้รู้เป็นตัวเรา"
ความรู้นี้ มันจะไม่ใช่รู้อะไรอายตนะแล้ว มันรู้ตัวมันเองว่า มีเราอยู่ในความรู้
มีเราในความรู้ยังไง ... มันมีความคิด หรือความรู้สึกว่า เรา ตัวเรา ของเรา
ไปรู้อะไรก็ เรารู้แล้ว ๆ ... อย่างนี้ใช่ อย่างนี้ไม่ใช่ อุ๊ย... อย่างนี้เป็นสังขาร อย่างนี้วิสังขาร
แต่ในความรู้ มันมี "ปัญญากระเพื่อมไหว" เป็นปัญญาที่กระดุกกระดิกกระเพื่อมไหว
ความรู้เป็นปัญญากระดุกกระดิก ว่า ... เรารู้ .... เราชัดมากเลย เราเห็นชัด เรารู้ชัด เราเห็นแล้ว ความเป็นเราในเราเนี่ย แท้จริงมันเป็นสังขารปนอยู่ในความรู้
ความรู้สุดท้าย ไม่รู้อะไรหรอก ก็มารู้ "ความเป็นเรา" ที่ปนอยู่ในความรู้นั้น แล้วมันก็แยกเราออกจากความรู้ มันเลยเหลือความรู้ที่ไม่มีเรา
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 1 : แล้วมันไปแยกตอนไหนคะหลวงตา
หลวงตา : แยกตอนมันเห็นเราอยู่ในความรู้ ทุกครั้งที่รู้อะไร มันมีเราอยู่ในรู้
"เรา" เนี่ยเป็นสังขาร
โยม 2 : เห็นความไม่บริสุทธิ์
โยม 1 : มันเห็นบ่อย ๆ ๆ จนมันรู้ได้ด้วยตัวมันเอง
หลวงตา : มันเห็นว่า ความไม่บริสุทธิ์ เกิดจากมีเราอยู่ในรู้ คือ มันเป็นตัวกระดุกกระดิกได้ มีตัวปรุงแต่ง มีความดิ้นรนทะยานอยากได้ มีความกระเพื่อมมีความไหวตัวได้
ความเป็นเรา ตัวเรา ตัวตนของเราในความรู้เนี่ย มันมีการกระเพื่อมได้ในความรู้นั้น มันมีความตรึกตรอง ประมวลผล ... ไม่ใช่ไปรู้ตามอายตนะแล้วนะ แต่ความรู้นี้เป็นการตรึกตรองประมวลผลในตัวมัน มันยังเป็นคล้าย ๆ กับ "เครื่องประมวลผล" น่ะ
มันไม่ใช่ว่าไปรู้ตามอายตนะแล้วตอนนี้ รู้ตามอายตนะนี่เป็นขันธ์ห้า ความรู้ที่มันพ้นอายตนะแล้วเนี่ย เรียกว่าไม่ใช่ขันธ์ห้าแล้ว แต่ความรู้ที่พ้นอายตนะเนี่ย มันเหมือนเครื่องประมวลผลที่มันดัง แก๊ก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ .....
บางทีปัญญา รู้ได้ว่า ... ไอ้เครื่องนี่มันดังเหลือเกิน เครื่องประมวลผลมันดังเหลือเกิน มันยังไม่เงียบ มันไม่ใช่เงียบแท้
โยม 2 : มันก็ยังมีกิริยาอยู่
หลวงตา : ใช่
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 1 : คือเครื่องประมวลผลของหลวงตา หมายถึงว่าเป็นเครื่องประมวลผล ที่รู้ว่าผู้รู้ตัวนี้มันยังมีตัวเราผสมเข้าไปอีก
หลวงตา : แม้แต่มันจะรู้ว่าผู้รู้ตัวนี้ มีเราผสมนะ แต่ความรู้นี้ก็ยัง ... แก๊ก ๆ ๆ ๆ อยู่ดี
คือมันยังเหมือนเครื่องประมวลผลที่มันดังน่ะ
โยม 5 : มันยังมีปัญญาแทรกอยู่ใช่มั้ยคะ?
หลวงตา : เป็นปัญญาแทรกอยู่ในความรู้ แต่เป็นปัญญาที่เป็นสังขารที่ทำให้เครื่องประมวลผลดัง
โยม 5 : เหมือนมันยังมีการแยกแยะอยู่
หลวงตา : ยังมีการแยกแยะ มันยังมีการแยกแยะว่าอะไรเป็นอะไร
โยม 2 : มันต้องถึงจุดที่ไม่ต้องแยกแยะอะไรเลย ใช่มั้ยครับหลวงตา
หลวงตา : ถึงตอนนั้นไม่มีใครแยกแยะแล้ว เพราะว่า มันพ้นการแยกแยะ
โยม 5 : อันนั้น คือที่หลวงตาบอก "หลุดแล้วรู้" คือมันหลุดจากการแยกแยะเหล่านั้น
หลวงตา : ใช่ ๆ ... มันไม่มีใครแยกแยะแล้ว มันไม่มีใครแยกแยะว่าอะไรเป็นอะไร
โยม 1 : ซึ่งการหลุดตรงนี้มันก็เหมือนกินข้าวอิ่ม ๆ เมื่อไหร่ มันก็รู้ของมันเอง คือมันหลุดของมันเอง ถูกมั้ยคะหลวงตา
หลวงตา : มันหลุดของมันเอง เหมือนผลไม้หลุดจากขั้ว มันไม่ได้แยกแยะว่า เราจะหลุด ตอนนี้เราจะหลุด มันไม่มีแยกแยะเพื่อจะหลุดไม่หลุด
คล้าย ๆ อย่างนี้ ผลไม้ลูกนี้เราเห็นว่ามันสุกงอมมากเลย มันต้องหลุดแน่นอนเลยวันนี้ เราไปจ้องดูมัน
จะหลุดแล้ว ๆ เดี๋ยวหลุดแน่นอนเลยวันนี้ หลุดแน่นอน จะหลุดแล้ว ... มันไม่หลุด! เพราะอะไร?
มันไม่ได้หลุดเพราะว่าเราอยากให้มันหลุด พอเราหันหลังแค่นั้นแหละ มันหลุดปุ๊บ! อ้าวเฮ้ย หลุดแล้วเว้ย มันหลุดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่มันหลุดแล้ว รู้ว่ามันหลุดแล้ว โดยที่ไม่มีคนแยกแยะ แต่ตอนที่มีคนแยกแยะเนี่ยไม่หลุด
เพราะว่ามันมี "เรา"
โยม 5 : มันจึงเป็นของเป็นเองเพราะเหตุนี้
หลวงตา : มันเป็นเอง
เพราะว่ามีเราแยกแยะอยู่มันไม่หลุด มันหลุดเพราะไม่มีเราไปแยกแยะ มี "เราอยู่ในรู้" คือไปแยกแยะ
มันยังเป็นปัญญาขั้นแยกแยะอยู่ ก็เห็นว่าปัญญาแยกแยะมันยังเป็นสังขาร มันยังแยกแยะ มันยังทำงาน มันยังมีการทำงานไม่หยุดอยู่ คล้าย ๆ กับว่า เครื่องประมวลผลมันยังมีเสียงดัง แก๊ก ๆ ๆ ๆ .....
มันรู้ จับได้ว่าเครื่องมันยังทำงานอยู่ มันยังไม่ได้หยุดทำงาน
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 5 : หลวงตาคะ อันนี้มันใช่ไล่รู้หรือเปล่าคะ ก็คือที่ว่าไล่ดูทุกปรมาณู ที่หลวงตาเคยบอก
หลวงตา : ใช่ ๆ นั่นแหละ การไล่รู้ มันเป็นปัญญาแยกแยะ
รู้หมดเลย แหม ... ละเอียดมากเลย ไอ้นี่เป็นไอ้นั่น ไอ้นั่นเป็นไอ้นี่ ไอ้นี่เป็นไอ้นั่น ไอ้นั่นเป็นไอ้นี่ ก็แสดงว่าเครื่องนี้ยังทำงานอยู่
โยม 5 : อันนี้ไม่ใช่รู้ตามอายตนะแล้วเหรอคะหลวงตา
หลวงตา : ไม่ใช่แล้ว มันเป็น "ญาณ" แล้ว
อายตนะมันได้แต่รู้แล้วมันวิพากษ์วิจารณ์ แต่อันนี้มันเป็นปัญญาแล้ว
โยม 5 : แต่อันนี้มันก็เหมือนเห็นในจิตนี่คะหลวงตา
หลวงตา : เห็นในจิตแต่มันขั้นปัญญา การเห็นเห็นแล้วมันเอามาตรึกตรองแค่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเฉย ๆ แต่นี่มันเป็นขั้นปัญญาวิเคราะห์แล้ว
คล้าย ๆ กัน แต่รู้อายตนะนี่มันเพียงแค่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่นี่เป็นปัญญาขั้นวิเคราะห์
โยม 1 : มันเหมือนกับว่าปัญญามันวิเคราะห์ของมันเองโดยมันไม่ได้สนอายตนะภายนอก
หลวงตา : ใช่ ๆ มันไม่สนอายตนะภายนอกที่มันไปรู้ แล้วไม่สนอายตนะภายในด้วย แต่มันวิเคราะห์ตัวมันเอง มันวิเคราะห์ทำงานขึ้นมาเอง
โยม 5 : อันนี้คือ สติปัฏฐานหมวดธรรมใช่มั้ยคะหลวงตา คือมาวิเคราะห์ธรรมในใจ
หลวงตา : ใช่ ๆ มันวิเคราะห์ธรรมในใจ
มันเลยกลายเป็นมีธรรมสังขาร ปนกับธรรมที่ไม่สังขาร
พ่อแม่ครูอาจารย์บอกว่า "นิพพาน" คือ จิตมันว่างงาน
นี่มันยังไม่ว่างงาน นิพพานมันคือจิตว่างงาน มันไม่ว่างงาน ไอ้เครื่องประมวลผลมันยังดังอยู่ แสดงว่ามันยังเสียบปลั๊ก แล้วมันยังเดินเครื่องอยู่ มันยังประมวลผลอยู่
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
โยม 1 : หลวงตาคะ อย่างนี้พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านพ้นแล้ว ก็คือเครื่องตัวนี้มันไม่ทำงานแล้วเหรอคะ
หลวงตา : ไม่ทำงาน
โยม 3 : คือมันรู้แจ้งแก่ใจแล้วใช่มั้ยครับว่า เครื่องนี้มันหมดอายุประมวลผลแล้ว
หลวงตา : มันรู้ว่าเครื่องนี้มันยังทำงานอยู่ แล้วมันยังไม่หายเหนื่อยจริง เพราะว่าเครื่องมันยังทำงานอยู่ มันยังเหมือนคนปลดเกษียณ แต่จริง ๆ ใจ ยังไม่ได้ปลด ยังไปดูงานอยู่เลย มันจะรู้เองว่ามันปลดเกษียณจริงหรือปลดเกษียณหลอก สุดท้ายมันปลดเกษียณหลอก มันไม่มีงานอะไรทำ กลับไปด้อม ๆ มอง ๆ อีก มีงานอะไรให้ผมทำหรือเปล่า
มันจะรู้แก่ใจตัวเองว่ามันไม่ได้ปลดจริง
ปลดจริง คือ มันว่างงานเลย
โยม 1 : แสดงว่าก็ไม่มีการประมวลผลในใจอีกเลย
หลวงตา : ไม่มีประมวลผลแต่รู้ไง
รู้อะไร ... ก็รู้ว่าว่างงานแล้ว
แต่ไม่ใช่รู้ไปประมวลผลแล้ว ไม่ใช่รู้ว่าสังขาร วิสังขาร สังขาร วิสังขาร ไม่มีแล้ว อันนี้ยังทำงานอยู่ ไม่มีการไล่รู้ ไล่ละ ไล่ปล่อย ไล่วางแล้ว
เหลือความรู้สุดท้าย ... รู้ว่าปลดเกษียณจริง ปลดเกษียณทางใจจริง ไม่ใช่ว่าปลดเกษียณแล้วไปของานเขาทำ คือไม่มีงานอะไรทำ ขอทำหน่อย ๆ ขอทำ ทำไปเรื่อย คิดวิเคราะห์ไปเรื่อย แล้วยังไม่เห็นว่าการวิเคราะห์เนี่ยมันยังไม่ปลดเกษียณจริง ยังไม่หายเหนื่อยจริง มันยังไม่วางจริง ๆ
เหมือนท่านยังไม่วางขวดน้ำไปกับพื้นจริง ๆ มันก็เลยยังมีการกระเพื่อม แต่ถ้าท่านวางจริงแล้ว การกระเพื่อมทั้งหมดมันก็หยุดของมันเอง
แล้วเหลือแต่ความรู้สุดท้ายว่า ... บัดนี้สิ้นสุดแล้ว ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอีกแล้ว รู้แต่เพียงอย่างเดียวว่าบัดนี้สิ้นสุดแล้ว
สุดท้ายเหลืออันเดียว ความรู้ว่าจบแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
ไม่มีการไล่รู้แบบวิเคราะห์อะไรเลย ว่าอะไรเป็นสังขารอะไรเป็นวิสังขาร คือเกษียณแล้ว
บัดนี้ตื่นแล้ว... เราหลับไหลมาหลายภพหลายชาติ
เราเหนื่อยมามากเหลือเกิน เราทุกข์มามากเหลือเกิน
บัดนี้จบแล้ว ... เราตื่น ... ตื่นจากความหลับไหลมายาวนาน
เหมือนกับพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ท่านเขียน
เราทุกข์มามากเหลือเกิน ... ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่เกิดมาให้เป็นทุกข์อีกต่อไป
เหลือความรู้อันเดียว! ไม่ใช่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเลย
เหลือความรู้ว่าบัดนี้มันจบหมดแล้วสิ้นสุดแล้ว
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
การเวียนว่ายตายเกิดอีก ... ไม่มี
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากสนทนาธรรมกับคณะศิษย์
ณ พุทธธรรมสถานปัญจคีรี
วันที่ 31 ธันวาคม 2562
~~~~~~~~~~~