หลวงตา : เราแยกออกว่า จิตที่ไปรู้ผู้พากษ์ทุกดวงว่ามันเป็นตัวปรุงแต่ง แต่ในความที่ว่า เราเห็นแล้ว ๆ เราเห็นผู้รู้ผู้พูดผู้พากษ์ทุกดวงเลย ว่ามันเป็นปรุงแต่ง เราเห็นแล้ว ๆ
แต่ที่เราเห็นนั้นน่ะ ก็คือเราอยู่ในเห็นนั้น
โยม 1 : งั้นมันก็จะไม่มีผู้รู้ตัวไหนที่ไม่มีเราเข้าไปปรุง
หลวงตา : ถูกต้อง ... มันจึงต้องปล่อยวาง
ที่พูดบอกว่า อย่างงั้นก็ไม่มี "ตัวผู้รู้" ที่ไหนเลย ที่ไม่มีเรา
จึงต้องปล่อยวางผู้รู้ทุกตัว! ที่ว่า นิพพานคือข้ามผู้รู้
เพราะว่าผู้รู้ทุกตัวมีเราหมด
โยม 2 : กราบเรียนถามหลวงตาครับ อย่างนี้จิตเดิมแท้ที่เป็น "ธาตุรู้" การรู้ของเขาเนี่ย จริง ๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องอาศัยอายตนะทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้องอาศัยเวทนาขันธ์เลย
หลวงตา : มันเป็นรู้เลย มันเป็นความรู้จากใจ รู้ออกมาจากใจโดยไม่ต้องอาศัยอายตนะ
ไม่อาศัย ประตูตา ประตูหู ประตูจมูก ประตูลิ้น ประตูกาย ประตูใจ คือ มันไม่มีเจตสิกเข้าผสม แต่มันเป็นความรู้ออกมาจากใจ ที่ไม่มีจุดที่ตั้ง
แต่ในความรู้นั่นน่ะก็ยังไม่บริสุทธิ์ เพราะว่ามันเป็นจิตเดิมแท้ที่บวกอวิชชา คือ มันหลุดจากขันธ์ห้าไปแล้ว มันก็ยังมีอวิชชาใน "ความรู้สึกเป็นเรา"
แล้วความรู้ที่มันรู้ออกมาจากใจน่ะจึงต้องปล่อยวาง ไม่มีใครไปยึดถือ ไม่มีใครไปยึดถือ "ความรู้" ที่รู้ออกมาจากใจ
โยม 2 : ทุก "ความรู้" ที่ออกจากใจ มีอวิชชาทั้งสิ้น
หลวงตา : ใช่ ๆ เพราะมันเป็นความรู้เดิม ที่เป็นอวิชชา
โยม 2 : แล้วถ้าถึงจุดหนึ่งที่มันสิ้นอวิชชาแล้วเนี่ย ความรู้ที่บริสุทธิ์ก็ยังรู้อยู่เหมือนเดิม ยังมีความสามารถในการรู้
หลวงตา : มันเป็นความรู้ว่า ความรู้ที่ออกมาจากใจมันบริสุทธิ์แล้ว รู้แค่ตรงนี้เท่านั้น ไม่ใช่ว่าไปรู้อะไร
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากสนทนาธรรมกับคณะศิษย์
ณ พุทธธรรมสถานปัญจคีรี
วันที่ 31 ธันวาคม 2562
~~~~~~~~~~~~~~~~