หลวงตา : พอมาเห็น "สติ" พูดได้แค่นั้นแหละ มัน โอ้โห... บอกไม่ถูกเลย มันหัวจรดเท้าเหมือนกับเป็นลมเลย
มันเหมือนเป็นลม ใจหายวาบขึ้นมาเลย เหมือนคนเป็นลมไม่ได้กินข้าวเลยบอกไม่ถูกเลย คือตรงนั้นไม่มีคำพูดเลย
สุดท้าย "สติ" นี่เอง เป็นตัวปรุงแต่ง คือ มันไม่มีคู่ต่อสู้แล้วมันก็เลยเหลือตัวสุดท้าย
โยม 1 : หลวงตา นี่ใช่มั้ยที่บอก "เจอผู้รู้ฆ่าผู้รู้" ?
หลวงตา : นั่นแหละ ๆ
มันก็เหมือนอย่างนี้นะ ก็เหมือนกับเค้าเปรียบเทียบเหมือนกับว่าขึ้นเวทีใช่มั้ย สติเนี่ยเป็นแชมป์โลกขึ้นเวที พอใครขึ้นมาสติต่อยกระเด็นตกเวทีหมดเลย พอขึ้นปุ๊บ! ต่อยตกเวทีหมด ต่อยจนเวทีว่างเปล่าเลย สติมันนึกว่ามันเก่งที่สุดนะ เวทีว่างเปล่า... แต่มันเห็นแต่เวทีว่างเปล่า แต่จริง ๆ มันว่างมั้ย? "ไม่ว่าง"
เพราะงั้น "สติ" ที่ไปรู้เท่าทัน มันเท่ากับมันต่อยคู่ต่อสู้ตกเวทีหมด คือ "จิตตสังขาร" โผล่กระดุกกระดิกเดียวเนี่ย มันรู้เท่าทันหมด จนกระทั่งเวทีว่างเปล่า แต่เวทีว่างเปล่ายังไง ถ้ามันครองแชมป์อยู่บนเวที มันต้องมีผู้มาท้าชิง มันว่างไม่ได้นานหรอก เดี๋ยวมันจะต้องมีจิตปรุงแต่งขึ้นมาให้มันต่อยอีก
เพราะมันเป็นแชมป์อยู่ มันต้องมีคนมาชิงแชมป์แน่นอนเลย คือ จิตนั่นเอง ต้องกระโดดขึ้นมากระดุ๊กกระดิ๊ก ขึ้นมาคิดปรุงแต่งให้มันต่อยอีก มันก็ต่อย ๆ ๆ เพื่อต้องการให้เวทีว่างอย่างเดียว คือ ให้ใจมันว่างอย่างเดียว
สติที่มันคอยจ้องจะต่อยจิตให้มันว่าง ถ้าตัวมันยังอยู่ เดี๋ยวจิตมันต้องขึ้นเวทีมาให้ต่อยอีก
หลวงพ่อองค์หนึ่ง ทำแบบนี้สู้อยู่หลายเดือน วันหนึ่งต่อย ๆ ๆ จิตอย่างนี้... "หมด"... ว่าง เดี๋ยวขึ้นอีก ต่อย ๆ ๆ รู้ทันหมด... ว่าง แต่ไม่ไปยังไง มันก็วนอยู่แค่นี้ เพราะมันว่างไปไม่นาน มันก็ต้องมีจิตขึ้นมาอีกแล้ว ไม่มีทางหรอกที่มันจะว่างตลอดเวลา
พอ 6 โมงเย็นโพล้เพล้ เดินอยู่ชายป่าคนเดียวไม่รู้ใครมาซุกสีข้างท่าน (ภาษาอีสาน) ซุกสีข้างท่าน (ผลัก) ท่านเลยตกใจ เฮ้ย! ใครมาผลักหว่า แล้วท่านก็หาคนผลัก หาคนผลักหาไม่เจอเพราะไม่มีใครผลัก ไม่เจอก็แล้วไป เอ้า คิดจะมาต่อยจิตใหม่ เสี้ยววินาทีเดียวที่คิดจะมาต่อยจิตใหม่คิดจะมาดูจิตใหม่ หันไปดูตอนนี้ใครขึ้นไปอยู่บนเวทีบ้าง
แต่ตอนนั้นไอ้ผู้ต่อยมันว่างไปแล้วไง เพราะว่ามันมัวแต่ไปหาคนอื่น แต่พอมันหาคนอื่นไม่เจอ มันเริ่มจะมาต่อยจิตใหม่ ท่านตกตะลึง!!! ตัวเองนี่หว่าที่จะเข้าไปต่อยเขา นี่คือ "จิต" แค่นั้นแหละ "นิพพาน" เลย
ท่านบอกว่าเหมือนกับเชือกที่มันรั้งต้นไม้สองต้นที่ตึง แค่นั้นน่ะพอเห็นตัวนี้ขาดกระเด็นเลย ตัดฉึบเชือกขาดสะบัดตัดต่อไม่ติดอีกเลย นี่ที่ว่า "พบผู้รู้ฆ่าผู้รู้"
นี่ก็เป็นทางเดิน ที่บอกว่า อ้าว ถ้าอย่างนี้มันก็ไม่ต้องไปตั้งรู้ไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องมีคนตั้งรู้ ถ้าไม่มีคนตั้งรู้นะ จิตที่ปรุงแต่งมันขึ้นมาบนเวทีเต็มเลย แน่นไปหมดเลย มันเลยต้องมี "สติตั้งรู้" ต่อยทุกตัวหมดเลย
แต่สุดท้ายตัวมันเองน่ะตัวยุ่งที่สุด คือ ตัวมันเองน่ะ "อวิชชา"
มันต้องมีตัวสติตั้ง ตัวปรุงแต่งก่อน แล้วมันเลยเห็น
ที่ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ว่า
"รู้ต้นจิต จิตต้นพ้นโหยหวน รู้ปลายจิตผิดทันที"
ผลสุดท้ายไอ้ตัวต้นจริง ๆ คือ "ตัวมันเอง" ตัวที่มันไปต่อยเขาทั้งหมดน่ะคือ "ปลายจิต" แต่ตัวมันเองผู้ต่อยเขาน่ะ คือ ต้นจิต
โยม 1 : สมัยก่อนตอนอยู่ที่ศาล ผมก็พยายามจะหา "จิตต้น" มองไม่เห็นว่าตัวเองกำลังหา
หลวงตา : ตัวที่จะไปหาต้นจิตคือตัวมันเอง
ตัวที่ไปหาต้นจิตน่ะ คือ ต้นจิต
เมื่อเราพูดตรงนี้หลายคนไม่เข้าใจ เราพูดมาตั้งนานนะ คนไม่เข้าใจเรา ไม่ใช่ว่าเข้าใจง่าย ๆ นะ
โยม 1 : สิบกว่าปี
หลวงตา : คนไม่เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจ แทนที่จะตายฟรีไป ก็ให้มาพิจารณากายตายเน่าเปื่อยผุพัง ก็จะพ้นทุกข์ไป
คือไม่มีตัวตน ให้สิ้นตัวตนไป ต้องพิจารณากายตายเน่าเปื่อยผุพังให้ได้ เพราะอะไร? ไม่รู้เรื่อง! จิตต้น ต้นจิต ผู้ที่ไปรู้ พบผู้รู้ฆ่าผู้รู้ พูดเท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่อง
คือมันไม่เห็นตัวเองไง ไม่เห็นตัวเองที่ "เอาตัวเองไปรู้" พอไม่เห็นตัวเอง พูดเท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่อง มันก็จะเอาตัวเองไปหาอยู่นั่นแหละ เอาตัวเองไปดู เอาตัวเองไปรู้ เอาตัวเองไปเห็น เอาตัวเองไปเป็น แล้วก็จะเอาตัวเองให้นิพพานอีก
เมื่อไม่เห็นตัวเองที่เป็นตัวต้นจิต ตัวต้นเหตุที่มันต่อยเค้าตกเวทีตัวมันเองนั่นแหละไม่เห็นตัวเองที่มันยืนอยู่บนเวที มันก็ไม่มีทางพ้นทุกข์ได้
ไม่ใช่ไปเห็นจิตทุกดวงที่ถูกต่อยกระเด็นหมดนะ เห็นตัวเองที่อยู่บนเวทีว่า... โอ้โห "อวิชชาตัวใหญ่" คือ "กู" นี่เอง ที่จะเข้าไปดูจิต จะเข้าไปต่อยจิต พอเริ่มลงมือใหม่จะเข้าไปดูจิต อ้าว... กูเองนี่หว่าเนี่ย
พอไม่เห็นตัวนี้ปุ๊บ พูดเท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่อง…ไม่มีทาง เพราะไม่เห็นตัวเองไง มันก็ค้นอยู่นั่นแหละตัวไหนนะ?
มันก็จะเหมือนที่โยมพูดบอกว่าตั้งแต่อยู่ที่ศาลแล้ว
ตั้งแต่เราสอนที่ศาล มันก็... เอ๊ะ! มันทำไมไม่เห็น ตัวไหน ตัวไหนที่มันพูด ตัวไหน? ก็ตัวมันนั่นแหละ ตัวไหนนะอยู่นั่นแหละ แล้วก็เป็นอย่างนี้มาหลายปี เป็นสิบ ๆ ปี ตั้งแต่เราเป็นหัวหน้าศาล
พอไม่เห็น วิธีแก้วิธีเดียว คือ ต้องพิจารณากาย เพราะอะไร? มันหมดหนทางแล้วไง ต้องพิจารณากายเพื่อไม่ให้ติด เพื่อไม่ให้ตัน
ไม่งั้นมันตันนะ ถ้าไม่เห็นตัวเองน่ะ ตัน! เลยต้องมาพิจารณากาย
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจาก “สนทนาธรรมกับกลุ่มศิษย์”
ณ พุทธธรรมสถานปัญจคีรี
6 ตุลาคม 2562
~~~~~~~~~~~~~~~