โยม 1 : หลวงตากล่าวไว้ว่ามันมี (ผู้รู้) ตัวจริงกับตัวปลอม ตัวจริงจะเห็นตัวปลอมที่มันสังขาร แต่ก็ต้องระวังเสี้ยววินาทีที่หลวงตาว่าให้เห็นตัวปลอม "ตัวที่เห็น" ก็เป็นตัวปลอมอีกทีหนึ่ง
มันจะเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยที่หลวงตาบอก มันก็เห็นซ้อน ๆ ๆ
หลวงตา : ผู้รู้ทุกตัวมันเป็นตัวปลอมหมด***
ผู้รู้ทุกตัวเป็นตัวปลอมหมดเพราะอะไร? ผู้ที่ไปรู้ทุกตัวมันจะวิเคราะห์ได้ บ่นได้ทุกตัว
มันรู้อะไรมันต้องบ่น มันต้องวิเคราะห์ว่า ดีชั่ว สุขทุกข์ บุญบาป กุศล อกุศล ผู้รู้ทุกตัวมันจะต้องรู้ดี รู้ชั่ว รู้บุญ รู้บาป รู้กุศล อกุศล มันถึงเก่งฉลาดกลายเป็นคนเหนือคน คือ มันจะต้องรู้กาละเทศะ บุคคล โอกาส สถานที่ ควรพูด ไม่ควรพูด ควรทำ ไม่ควรทำ ควรคิด ไม่ควรคิด
แล้ว "ตัวจริง" อยู่ตรงไหนล่ะ?
ตัวจริง คือ ผู้รู้ทุกตัวเป็นตัวปลอมหมด แต่ตัวปลอมก็คงปล่อยให้เป็นตัวปลอมไม่มีใครไปอะไรกับตัวปลอม
ไอ้นั่นคือ... "ตัวจริง"***
ไม่ใช่ว่าเข้าใจผิด ถ้าอย่างนั้นน่ะ เราเอาตัวจริงมาคอยรู้ตัวปลอมไว้ ให้ตัวจริงเป็นตัวไม่พูด แล้วตัวปลอมเป็นตัวพูด
นี่คือผิด โทษมหันต์เลย มันก็เลยตั้งตัวจริงล็อกไว้ แต่ตัวจริงตัวที่ล็อกไว้ ตัวอะไร? "ตัวปลอม"
มันเหมือนกับตำรวจที่เรียกว่า จับแพะ คือจับคนร้ายผิดตัว หลายคนทั้งนั้นน่ะปฏิบัติ พูดมันเข้าใจหมดเลย อ่อ... ใช่ ตัวนี้ใช่ ๆ ตัวปลอมนี่มันรู้อะไรทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ มันต้องบ่นทุกตัว มันต้องพูดทุกตัว ตัวจริงไม่พูด
ก็เลยเอาตัวจริงไม่พูดไว้ข้างหลัง แล้วเอาตัวที่ไม่พูดมาดูตัวปลอม แล้วก็ (เรา) น่ะเป็นตัวจริง เรากลายเป็นตัวจริง แต่แท้จริง เราคือตัวปลอม
โยม 3 : ก็คือให้รู้ว่าทุกตัวเป็นตัวปลอมหมด?
หลวงตา : ผู้รู้ทุกตัวเป็นตัวปลอมหมด ผู้รู้ทุกตัวมันต้องพูด ไม่มีหรอกผู้รู้ที่ไม่พูด ผู้รู้ที่เป็นตัวจริงไม่มี! ผู้รู้ตัวจริงมันไม่มีตัว***
ก็เห็นว่า "ผู้รู้" ทุกตัวคือตัวปลอม แล้วก็อยากปลอมก็ปลอมไปสิ ก็ปรุงไป ก็ปรุงอย่างเก้อ ๆ แล้วไม่มีใครไปอะไร ๆ กับตัวปลอม ไอ้นั่นน่ะคือ "ตัวจริง"
แต่พอบอกว่ามันมีตัวจริง แสดงว่า... มันมีตัวจริงอีกอันไม่ใช่ตัวปลอม มันก็เลยไปตั้งตัวจริงไว้เลยตอนนี้ เนี่ยปฏิบัติกันแบบเนี้ย แล้วตัวจริงนะไปสร้างเอาไว้... ตัวจริงพูดไม่ได้ ๆ ตัวจริงว่างเปล่า ๆ แท้จริงไอ้ตัวนั้น ตัวปลอม!!
ที่บอกว่า... แช่แล้วทำไมจะไม่รู้ว่าแช่ แต่ก็แช่อยู่นั่นแหละ
นี่แช่รู้หรือเปล่าเนี่ย? รู้! ทำไมจะไม่รู้ว่าแช่ ก็รู้แล้วไงนี่แช่ แช่ก็แช่ แช่เป็นอาการที่ถูกรู้ แล้วก็อยู่กับรู้แล้วไง อยู่กับรู้... รู้ว่าแช่
แต่ "แช่คา" อยู่นั่นแหละ แต่เข้าใจว่าที่รู้แช่ ก็รู้แล้วนี่ไง ง่วงก็รู้แล้วนี่ไงว่าง่วง แต่ก็ง่วงคาแช่ไว้อย่างนี้ ที่มันคาง่วงแช่ไว้คืออะไร? มันเป็นตัวปลอม แต่เค้าเข้าใจว่าตัวจริง
"ผู้รู้" ทุกตัว ทุกปัจจุบันขณะจิต มันบ่นเป็นปรมาณูเลย มันพูดไม่หยุด มันวิเคราะห์ วิจารณ์ วิจัย ง้องแง้ง ๆ ๆ มันดิ้นรน มันค้นหา มันพยายาม เสี้ยววินาทีเดียวที่มันกระดุกกระดิกน่ะ มันเป็นสังขารหมดเลย เราไม่เรียกมันว่าคืออะไรเลย ไม่ตั้งชื่อเลย แต่เราบอกอะไรก็ตามที่กระดุกกระดิกได้ ไม่อะไรกับมันทั้งหมด อะไรที่กระดุกกระดิกได้ไม่มีใครไปอะไรกับมัน
ที่ไม่มีใครไปอะไร ๆ กับมันนั่นแหละ
อันนั้นแหละ... มันพ้นทุกข์อยู่ตรงนี้
แต่พอพูดอย่างนี้นะ มันก็ยังปฏิบัติผิด เพราะอะไร? มันหมายทันทีเลย! คือ มีอะไรเกิดขึ้นเราไม่อะไร ๆ กับมัน เราไม่อะไรกับอะไร… แต่กลายเป็นว่าไอ้ที่ไม่อะไรกับอะไรมันคือ "ตัวกู"
เข้าใจหมดแล้ว อะไรเกิดขึ้นไม่มีใครไปอะไร ๆ กับมัน แต่ "ผู้ที่คอยดู" ว่า... อะไรมีค่าต่อใจกูหรือเปล่า? ไม่ไปอะไรกับอะไร
แต่ไอ้ที่อะไรไม่มีค่าต่อใจกูน่ะคือ "ตัวกู"
นี่คือข้อผิดพลาดมหันต์เลย คือเราจะเอาที่มันไม่มีค่าต่อใจ
มันเลยเป็นกันหมดเลยนะ ยกมือขึ้นฟ้า นิพพานก็ไม่มีค่าต่อใจ กิเลสก็ไม่มีค่าต่อใจ อาจารย์ช่วยดูหน่อย ว่างเปล่า ๆ อะไรไม่มีค่าต่อใจ แต่ไอ้ที่ไม่มีค่าต่อใจ มันมีค่าต่อใจ
ตรงนี้อันตรายมากเลย ดูให้ดีนะ!
ต้องไม่มีอะไรที่มีค่าจริง ๆ ไม่ใช่ว่ามันจะต้องไปถึงเป้าหมายที่อะไรไม่มีค่าต่อใจ ถ้าไปตั้งเป้าหมายไว้นะ มีค่าทันทีเลย
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจาก “สนทนาธรรมกับกลุ่มศิษย์”
ณ พุทธธรรมสถานปัญจคีรี
6 ตุลาคม 2562
~~~~~~~~~~~~~~~