พอเห็นจิตซะแล้วมันก็ไม่ไป "ติดอารมณ์" พอไม่ติดอารมณ์แล้วใช่มั้ย พอเห็นจิต "ติดจิต"
ทำไมถึงติดจิตล่ะ? คือเป็นไปกับจิตเลยตอนนี้ ไปบ่นเขาเลย เห็นแล้วแต่กลายเป็นคนบ่น กลายเป็นคนบ่นเสียเอง เห็นจิตแล้ว แต่เราเป็นคนบ่น เห็นจิตมันขี้บ่นแต่กลายเป็นเราเป็นคนขี้บ่น อันนี้กลายเป็น "เห็นจิต ติดจิต"
โยม 3 : ยังไม่เข้าใจค่ะ
หลวงตา: หมายถึงยังไง ไม่เข้าใจยังไงนะ?
โยม 3 : เห็นจิตแล้วติดจิตเนี่ยค่ะ
หลวงตา : เห็นจิตติดจิตก็มีอยู่สองอย่าง คือ...
▪ เห็นมันแล้วแต่เราไปหงุดหงิดรำคาญมัน
▪ เห็นมันแล้วเราไปเป็นมัน
นี่เรียกว่า... ไปเป็นจิต
เราหงุดหงิดรำคาญมันเห็นมันแล้วจะไปดับมัน พอเราจะไปดับมันก็ติดเลย ติดร่างแหเลย
แต่ถ้าสักแต่ว่าเห็นมัน... "รู้จิตสักแต่ว่ารู้จิต" ก็นิพพานเลย ที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพาหิยะว่า “สักแต่ว่าเห็น ได้ยิน สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่ารู้แจ้ง”
"รู้สักแต่ว่ารู้" ***สุดท้ายนี่มันคือ... รู้จิตสักแต่ว่ารู้จิต
"สติปัฏฐาน ๔" กาย เวทนา จิต ธรรม
ธรรมนี่มันเป็นสิ่งที่ถูกรู้อยู่แล้ว มันเป็นธรรมารมณ์ มันเป็นสิ่งที่ถูกรู้ แต่ในธรรมนี่มันรวมทั้งที่เป็น "สังขาร" กับ "วิสังขาร" มันเป็นทั้งสังขารกับวิสังขาร ตัวสังขารนี่เป็นสิ่งที่ถูกรู้เสียแล้ว
โยม 2 : แล้วพิจารณาธรรมในธรรมนี่ เมื่อกี้หลวงตาพูดว่ากาย เวทนา จิต... แล้วธรรมล่ะคะ?
หลวงตา : นี่ไงธรรมอันแรกก็คือ "ธรรมารมณ์" คือสิ่งที่ถูกรู้ซะก่อน นี่คืออย่างหยาบ
ธรรม หมายถึงว่าอารมณ์ที่ถูกรู้ คืออาการที่ถูกรู้ทั้งหมดนี่เรียกว่า "ธรรมารมณ์" เราอย่าไปสนใจมัน ก็เท่ากับไม่ยึดถือธรรมารมณ์นั้น เหตุที่ไม่สนใจธรรมารมณ์ได้ เพราะอะไร? มุ่งเป้าที่จิตที่ไปรู้อารมณ์... มันก็เลยเป็นจิต
พอรู้จิตปุ๊บ!ไม่ติดจิตคือไม่ติด "จิตตสังขาร"... ใจมันก็เลยว่าง ใจมันว่างเป็น "วิสังขาร"
วิสังขารมันก็อยู่ในธรรมในธรรมด้วย เพราะว่า "ธรรม" มันมีทั้ง สังขารที่เป็นธรรมารมณ์ และเป็นวิสังขาร
แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" สังขารเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ส่วนวิสังขารเป็นอนัตตา ธรรมทั้งมวล มันคือ สังขาร กับวิสังขาร
แต่ธรรมในธรรมพระพุทธเจ้าก็ตรัสอีกว่า "กาย เวทนา จิต ธรรม วิสังขาร" ก็ยึดถือไม่ได้ "สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ" ธรรมทั้งที่เป็นสังขาร และวิสังขาร ยึดถือไม่ได้ จึงไม่ควรหลงยึดมั่นถือมั่นให้เป็นทุกข์
เพราะฉะนั้นธรรมในธรรมที่เป็นวิสังขาร พอใจว่างแล้ว (ไม่ติดจิตปุ๊บ ใจเลยว่าง) ใจว่างก็ยึดถือใจไม่ได้ นี่คือ step มันน่ะ
โยม 3 : ตัวนี้มันเป็นตรงที่หลวงตาโพสต์มั้ยคะว่า มันมี "จุดรู้" ถ้ามันเหนือจุดนี้ คือเหนือรู้ขึ้นไป มันเป็นตัวเดียวกันมั้ยคะ?
หลวงตา : ก็อันนี้แหละ พอเดี๋ยวรู้ไปก็คือว่า มันผ่านตลอดสาย กาย เวทนา จิต ธรรม ไม่มีคนยึด
แต่นั่นมันไม่มีที่หมายแล้วไง ท่านก็บอกแล้วไม่มีที่หมาย แต่เราอย่าไปหมายไว้ว่า ตรงนั้นมันคืออะไร
โยมยังหมายไว้ว่าตรงนั้นมันคืออะไร แล้วจะเอาตัวเราไปถึงตรงนั้น ปัญหามันน่ะ คือมันไม่เห็นตัวเองที่ไปรู้ มันเอา "ผู้รู้" เป็นตัวเอง แล้วเอาตัวเองไปรู้ เลยมันไม่เห็นตัวเอง ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละ!
คือถ้ามันเห็นตัวเองซะแล้วว่าตัวเองเป็นคนรู้ แล้วตัวเองเป็นคนบ่น มันก็ฟันที่ตัวเองเลย คือตัวเองเป็นคนรู้ แล้วตัวเองเป็นคนบ่น มันก็ฟันที่ตัวเองตลอดเวลา
แต่ปัญหาถึงจะพูดอย่างนี้ยังไงก็ตาม มันไม่เห็นตัวเองที่เป็นคนรู้ คือปัญหามันอยู่ตรงนี้
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจาก “สนทนาธรรมกับกลุ่มศิษย์”
ณ พุทธธรรมสถานปัญจคีรี
6 ตุลาคม 2562
~~~~~~~~~~~~~~~