ทางแห่งมรรคผลนิพพานทางเดียวเท่านั้น ก็คือ พระพุทธเจ้าต้องการให้เห็นว่า กาย เวทนา จิต ธรรม สี่ตัวนี้ คือ "สังขาร"
ที่ให้เห็นน่ะ คือให้เห็นมันซะก่อน แล้วเห็นว่ามันเป็นสังขาร และเห็นว่าเสี้ยววินาทีเดียวมันเริ่มบ่นนะ มันบ่นในจิต คือ มันกระดุ๊กกระดิ๊กในจิตแค่ปรมาณูเดียว มันคือ "สังขาร" เสี้ยววินาทีเดียวที่จิตกระดุกกระดิกได้ มันคือสังขาร ๆ
ทีนี้พอเราเห็นอย่างนี้ไม่แยกเลย ว่ากาย ว่าเวทนา ว่าจิต ว่าธรรม ที่แยกเพื่อต้องการอธิบาย เพื่อต้องการให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่สุดท้ายแยกเป็นแล้วเนี่ย รู้ว่าอะไรคือ "อารมณ์ที่ถูกรู้" รู้ว่าอะไรคือ "ผู้รู้"
ดูตรงนี้เลย... "ผู้ที่รู้อารมณ์" ที่เป็นจิต แล้วพอเสี้ยววินาทีเดียวในจิตมัน กระดิก ๆ ได้ คือสังขารหมดเลย มันเป็นสังขารหมด "จิตตสังขาร" หมด มันกระดุกกระดิกแค่ปรมาณูเดียว กระดุ๊กกระดิ๊ก ๆ ทุกเสี้ยววินาที ต่อให้เอ็งจะเร็วปานปรมาณูยังไง แต่เอ็งจะเร็วยังไงเอ็งก็คือสังขาร
ถ้าเห็นว่าเป็นสังขารนะ มันก็ไม่มีใครไปอะไร ๆ กับสังขารเลย เพราะมันเป็นสังขาร เมื่อมันเป็นสังขารปุ๊บ!ไม่มีใครไปอะไร ๆ กับสังขาร สังขารมันก็เป็นเก้อ ๆ แต่ถ้ามีใครไปอะไร ๆ กับสังขารปุ๊บ!เป็น อวิชชา ตัณหา อุปาทานเลย
ตรงนี้สำคัญมากเลย ทำไมล่ะจึงต้องเห็นสังขาร?
ถ้าไม่เห็นจะไปเป็นมัน!
*** นี่คือหัวใจสำคัญ ***
ถ้าเราไม่เห็นที่มันกระดุ๊กกระดิ๊กในใจ เราจะไปเป็นมัน แล้วเห็นอะไร? ก็เห็นว่ามันเป็นสังขาร แล้วเราก็ไม่เป็นมัน เพราะว่าถ้าเป็นมัน คือเราตายแล้วเราจะต้องมีตัวเรากระเด็นออกมาหน้างานศพตัวเรา เราจะต้องไม่เป็นอย่างนั้นเด็ดขาด!
ถ้าเราไม่เห็นสังขาร เราหลงไปเป็นสังขาร พอตายปุ๊บ! สังขารมัน "ปรุงเป็นตัวเรา" แล้วมันก็จะกระเด็นออกมาหน้างานศพ เค้าก็จะมาลากเอาไป เราจะต้องไม่ให้ใครลากเราเป็นอันขาด แล้วก็เราจะต้องไม่มีตัวตนของเรา กระเด็นออกมาหน้างานศพ มีวิธีเดียวเท่านั้น คือ จะต้องไม่เป็นสังขาร!
ถ้าเป็นสังขารเมื่อไหร่กระเด็นออกมาหน้างานศพตัวเองแล้วถูกเค้าลากเอาไปเลย
ส่วนใหญ่ตรงเนี้ยมันจะไม่เห็นว่าในจิตเราเนี่ย มันบ่นตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ถ้ามันเห็นจิต มันจะไม่ไปอารมณ์ คือว่าอารมณ์เนี่ย เหมือนกับว่ามันเป็นตัวนอก จิตมันเป็นตัวใน พอเห็นจิตเสียแล้วมันก็เลยไม่ไปถึงอารมณ์ตัวนอก พอไม่ถูกอารมณ์หุ้ม มันก็จะไม่มีอะไรหุ้ม เพราะว่าจิตนี่มันกันไว้หมดแล้วไง คือ จิตที่มันบ่นเนี่ย มันกันอารมณ์ข้างนอก เพราะว่าจิตมันเป็น "คนรู้อารมณ์" แต่พอเห็นจิตเสียแล้ว มันไม่ไปถึงอารมณ์ อารมณ์มันก็เลยไม่มาหุ้มจิต
นี่คือปัญหาที่ต้องการให้เห็นจิต ที่ว่า... จิตเห็นจิตเป็นมรรค ผลแห่งจิตเห็นจิตเป็นนิโรธ คือว่า "จิต" เป็นผู้รู้อารมณ์ แต่ถ้าเห็นจิตเสียแล้วมันก็ไม่ไปถึงอารมณ์ แต่ถ้าไม่เห็นจิต มันก็ไปถึงอารมณ์เลย เพราะว่ามันไม่เห็นไอ้ตัวกลาง
จิตมันเป็นผู้รู้อารมณ์ พอเราเห็นจิตที่มันบ่น มันวิเคราะห์ วิจารณ์ วิจัย ง้องแง้ง ๆ ๆ คือ ไม่ต้องเรียกมันว่าอะไร มันกระดุ๊กกระดิ๊กได้ ที่มันกระดุ๊กกระดิ๊กในใจตลอดเวลา กระดุ๊กกระดิ๊ก ๆ ไม่ว่าจะกระดุกกระดิกในลักษณะอย่างไรก็ตาม มันคือจิตหมดเลย คือ "จิตตสังขาร" คือสิ่งที่กระดุ๊กกระดิ๊กในใจ
ถ้ามันเห็นจิตตสังขารแล้ว มันไม่ไปสนใจกาย ไม่ไปสนใจรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสข้างนอก มันไม่สนใจกายที่ถูกรู้ ไม่สนใจอารมณ์ที่ถูกรู้ มันมุ่งเป้าที่สังขารเลย เพราะว่าพ้นสังขารเท่านั้นที่นิพพาน ถ้าไม่พ้นสังขารนิพพานไม่ได้
เพราะฉะนั้น ต้องพ้นจาก "จิตตสังขาร" พ้นสังขารจึงนิพพานเพราะว่าสังขารมันเป็นทุกข์ สังขารเท่านั้นที่เป็นทุกข์ พ้นจากสังขารจึงจะพ้นทุกข์
ดังนั้นมันจึงต้องเห็นสังขารที่มันกระดุ๊กกระดิ๊ก ๆ ได้ แล้วก็รู้แจ้งแก่ใจว่าสังขารมันก็เก้อ ๆ มันเกิดอย่างเก้อ ๆ ไม่มีใครไปอะไร ๆ กับมันหรอก เข้าใจคำว่าเก้อ ๆ มั้ย? คือ มันเป็นของมันอย่างเก้อ ๆ เพราะเห็นมันแล้วไง มันกระดุ๊กกระดิ๊กยังไงมันก็เก้อ ๆ เกิดไปเก้อ ๆ ไม่มีใครไปอะไร ๆ กับมัน ถ้าไม่มีใครไปอะไร ๆ กับมันก็ไม่เป็น อวิชชา ตัณหา อุปทาน
แต่ถ้ามีใครไปอะไรกับมัน เพราะ...
▪ หนึ่ง ไม่เห็นมัน
▪ สอง เห็นมันแล้วก็จะไปดับมันให้ได้ หรือเป็นไปกับมันได้อันนี้ก็คือ เป็น อวิชชา ตัณหา อุปาทาน
อันแรกคือ ไม่เห็นมันน่ะเป็นมันอยู่แล้วร้อยเปอร์เซ็นต์
สอง พอเห็นมันแล้วติดไปกับมัน หรือพยายามไปดับมัน อันนี้ผสมโดนเลย โดนลูกหลงเลยตอนนี้ พอเห็นมันแล้วไปเป็นมันแล้วพยายามไปดับมัน อันนี้โดนมันฆ่าเลย
แต่ถ้าเราไม่เห็นมัน เราไปติดอารมณ์ เพราะว่าอะไร เพราะว่าไม่มีตัวจิตที่เป็นตัวกันไว้ไง จิตน่ะเป็นผู้รู้อารมณ์ เมื่อเราไม่เห็นจิตเราก็เลยไปติดอารมณ์
โยม 1 : เห็นมันแต่ไปดับมัน
หลวงตา : เออ... ไม่ใช่! อันนี้ติดเลย
หลักมันก็ง่าย ๆ ก็คือว่า อารมณ์มันอยู่ปลายแถวโน่นใช่มั้ย ถ้าไม่เห็นจิตที่ตัวกลาง มันจะไปติดอารมณ์
อารมณ์คืออารมณ์ที่ถูกรู้ ไม่ว่าจะว่าง ความรู้สึกว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบาย ไม่ว่างโล่งโปร่งเบาสบายอะไรเนี่ย คืออาการที่ถูกรู้ทั้งหมด พูดง่าย ๆ เนี่ยคือ "อารมณ์"
พออารมณ์ปุ๊บ! มันเป็น "ธรรมารมณ์" อาการของใจ คือสิ่งที่ถูกรู้ แล้วก็ "จิต" คือผู้ที่ไปรู้ธรรมารมณ์ รู้อาการของใจแล้วมันบ่น พูดอะไรในใจ กระดุ๊กกระดิ๊ก กระดุ๊กกระดิ๊ก ๆ นั่นคือจิต จิตเนี่ยคือผู้รู้อารมณ์แล้วมาบ่น ง้องแง้ง ๆ ๆ แต่อารมณ์เป็นสิ่งที่ถูกรู้
ถ้าเราเห็นจิตแล้วเนี่ย มันจะไม่ติดอารมณ์ เพราะว่าจิตมันเป็น "ผู้รู้อารมณ์" แล้วมันบ่น เราเห็นไอ้ตัวบ่นเสียแล้ว เราเลยไม่ได้ไปสนใจกับอารมณ์ มึงจะง่วงไม่ง่วง จะว่างไม่ว่าง ไม่อยู่ในความสนใจเลย สักน้อยหนึ่งนิดหนึ่งปรมาณูหนึ่งไม่สนใจเลย
คือสนใจดูตรงจิตนี่ ว่าจิตมัน ง้องแง้ง ๆ ทุกปรมาณูเลย มันกระดุกกระดิกได้เป็นจิตหมด แล้วก็เห็นจิตอยู่ตรงเนี้ย... กัดติดเห็นจิตอยู่ตรงเนี้ย "จิตเห็นจิต"
จิตเห็นจิต เป็นมรรค ผลแห่งจิตเห็นจิตเป็นนิโรธ ก็คือ "นิพพาน" ก็อยู่ตรงจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งนี้แหละ มันอยู่ตรงนี้แหละ
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจาก “สนทนาธรรมกับกลุ่มศิษย์”
ณ พุทธธรรมสถานปัญจคีรี
6 ตุลาคม 2562
~~~~~~~~~~~~~~~