จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง... เป็นมรรค ผลแห่งจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็น... นิโรธ คือ ความพ้นทุกข์
มันดูตรงจิตนี่แหละ มันไม่ดูที่กายดูที่เวทนา แต่ดูตรงจิตว่า ในเวทนามันมีจิตอยู่ หลักก็คือ เวทนามันรู้ตัวมันเองไม่ได้แต่จะต้องมีผู้ไปรู้เวทนา ผู้ที่ไปรู้ คือ "จิต"
อารมณ์คือสิ่งที่ถูกรู้ และ "จิต" คือผู้ที่ไปรู้อารมณ์
เวทนามันเป็นอารมณ์ที่ถูกรู้ และจิตคือผู้ที่ไปรู้เวทนา คือรู้อารมณ์ ถ้าแยกอารมณ์กับจิตไม่ได้ อย่ามาพูดกันดีกว่า
อารมณ์คือสิ่งที่ถูกรู้ เวทนาคือสิ่งที่ถูกรู้ ร่างกายคือสิ่งที่ถูกรู้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ธรรมารมณ์เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ... อันนี้มันเป็น "อารมณ์"
เขาจึงเรียกว่า รูปก็อารมณ์ เสียงก็อารมณ์ กลิ่นก็อารมณ์ รสก็อารมณ์ และก็โผฐฐัพพะสิ่งที่มาสัมผัสผิวกายก็อารมณ์ อาการของใจ ก็เรียกว่า อารมณ์
สรุปแล้วอายตนะภายนอกทั้งหมด เรียกอารมณ์หมด
แต่เวลาพอเอาชื่อรูปมาใส่เค้าก็เรียกว่า "รูปารมณ์"
(รูปบวกอารมณ์ เป็น "รูปารมณ์")
เสียงก็ สัททา บวกกับ อารมณ์ ก็เป็น "สัททารมณ์"
กลิ่นก็ คันธา บวก อารมณ์ ก็เป็น "คันธารมณ์"
แล้วก็รส ก็ ระสะ บวกกับ อารมณ์ก็เป็น "รสารมณ์"
สิ่งที่มาสัมผัสผิวกาย โผฐฐัพพะ บวกอารมณ์ ก็เป็น "โผฐฐัพพารมณ์"
ธรรมะ ก็คือธรรมชาติฝ่ายปรุงแต่ง (คืออาการที่มันปรุงแต่งในใจเรียกว่า "จิตตสังขาร") ธรรมะ บวกกับ อารมณ์ก็เป็น "ธรรมารมณ์"
งั้นถ้าเราจำง่าย ๆ คือ อายตนะภายนอกหมดเลย รูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ เรียกว่า อารมณ์หมด ส่วนผู้ที่ไปรู้อารมณ์นั่นเรียกว่า "จิต" ถ้าเราแยกตรงนี้ไม่ออกนะ ว่าทำวิปัสสนา แต่แยกจิตกับอารมณ์ไม่ออก
*** อารมณ์เป็น "สิ่งที่ถูกรู้" จิตคือผู้ที่รู้อารมณ์*** นี่หลักตรงนี้ต้องแม่น
มันต้องแยกตรงนี้ให้ออก เพราะว่าอะไร? "สติปัฏฐาน ๔" ทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ถ้าเราไม่ศึกษาตรงนี้ให้เข้าใจ แล้วเราจะไปยังไงได้ พระพุทธเจ้าตรัสเองนะว่า ทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ เพราะฉะนั้นมันต้องแยกจิตกับอารมณ์ให้ออก
ง่าย ๆ คือ "อารมณ์" เป็นสิ่งที่ถูกรู้ จิตคือผู้รู้อารมณ์
อะไรเล่าเป็นสิ่งที่ถูกรู้? ก็คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ และก็ธรรมารมณ์ คืออาการของใจทั้งหมด ไม่ว่าจะว่าง โล่ง โปร่งเบาสบาย หรือว่า แน่นอึดอัดทึบตื้อ ง่วง เป็นอารมณ์หมด เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกรู้
แล้วใครล่ะเป็นคนรู้? คนที่รู้น่ะ มันบ่น มันวิเคราะห์ วิจารณ์ว่ายังไง เฮ้ย! ทำไมง่วงอย่างนี้วะ มันแช่หรือเปล่า ง่วงเกิดจากอะไร โอ้…มันว่างเว้ย ว่างดีจังเลย เฮ้ย ตอนนี้สงบมากเลย เฮ้ย! ทำไมตอนนี้ไม่สงบวะ มันเคยสงบไม่สงบ
งั้นอะไรก็ตามที่มันไปรู้อะไร มันจะต้องบ่น*** รู้รูปมันก็ต้องเอามาบ่น มาวิเคราะห์ วิจารณ์ วิจัย อย่างโน้นอย่างนี้ อะไรก็ต้องวิพากษ์วิจารณ์เขา
นี่สวยดีเว้ย นี่หล่อเว้ย นี่แต่งตัวไม่ดีเลย เอ...ทำไมทำอย่างนี้ มาวัดแล้วยังนุ่งสั้น วางรองเท้าก็ไม่เรียบร้อย ทำไมอย่างโน้นอย่างนี้ เห็นอะไรข้างในใจมันก็พูดอยู่ตลอดเวลาไม่มีหรอกไม่พูดน่ะ มันพูด ง้องแง้ง ๆ มันพูดตลอด
อันนี้คือ "จิต" จิตที่มันพูด มันพูดตลอดเลย คือมันไปรู้แล้วมันมาบ่นตลอดที่เราเรียกว่า... "ผู้รู้ตัวปลอม"
งั้นถ้าเราเห็นจิตเสียแล้วมันก็ง่ายแล้ว นี่คือจิต จิตคือผู้ไปรู้แล้วมันมาบ่น มีเจตสิกประกอบมันก็เลยบ่น พอมันบ่นเสร็จปุ๊บ! เสี้ยววินาทีที่มันเริ่มต้นบ่น มันเป็นสิ่งที่ถูกรู้ทันที! มันเลยกลายเป็น "ธรรมารมณ์" แล้วก็มี "จิตอันใหม่ดวงใหม่" มารู้ที่มันบ่น แล้วพอมันมารู้ปุ๊บ! มันก็บ่นต่ออีก
แล้วมันก็กลายไปเป็นธรรมารมณ์ แล้วก็มีจิตดวงใหม่มารู้ตัวมันเองที่เป็นธรรมารมณ์แล้วมันก็บ่นต่ออีก ดังนั้นทุกปัจจุบันขณะ จิตที่ไปรู้แล้วบ่นทุกดวง เป็นจิตดวงใหม่เรื่อยไป
ตอนนี้ก็ง่ายแล้ว "จิต เห็น จิต เป็นมรรค ผลแห่งจิตเห็นจิตเป็นนิโรธ" คือ ความพ้นทุกข์ ก็ให้เห็นไอ้ตัวบ่นนี่แหละ บ่น ง้องแง้ง ๆ พูดอะไรอยู่ในใจคนเดียว
*** จำไว้ให้แม่นไว้เลยว่า เสี้ยววินาทีเดียวไม่เห็นว่าตัวเองบ่นอะไร พูดอะไรในใจ...แช่! ... หลุดแล้ว ผิดแล้ว ติดแล้ว จิตไปติดธรรมารมณ์ ไปติดอาการที่ถูกรู้ "ติดอารมณ์"
เพราะว่าอะไร? จิตมันรู้อะไรทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รู้อาการในใจอะไรก็ตาม ***มันบ่นทุกตัว ทุกเสี้ยววินาที *** และลัดนิ้วมือเดียวมันเกิดตั้งแสนโกฏขณะจิต เพราะฉะนั้นน่ะ มันยิบเลยเป็นปรมาณูเลย
งั้นถ้าตลอดเวลาทุกเสี้ยววินาที ถ้าเราไม่เห็นในใจเรามันบ่นว่าอย่างไร พูดว่าอย่างไร แสดงว่าเราแช่แล้ว ไปแช่อารมณ์ที่ถูกรู้ มันถึงได้ง่วงไง เพราะอะไร? เพราะว่าเราไม่เห็นตัวเราบ่น ถ้าเราเห็นตัวเราบ่นแล้วมันจะไปแช่ได้ยังไง มันแช่ไม่ได้หรอก เพราะมันน่าเบื่อมากเลย เบื่อคนบ่น แต่เบื่อคนบ่น "กู" เนี่ยเป็นคนบ่น
มันบ่นตลอดเวลา มันเลยไม่มีเวลาไปแช่อะไรเลย มันบ่นตลอดพูดไม่หยุด ๒๔ ชั่วโมง ยกเว้นแต่หลับ
ก็เห็นคนบ่น พอเห็นไอ้คนบ่นใช่มั้ย พอมันไปรู้ปุ๊บ เสี้ยววินาทีที่มันบ่นน่ะ มันก็กลายเป็นสังขารไปเลย เพราะว่าจิตเนี่ยมันคือ จิตตสังขาร ที่มันบ่นได้มันเป็น "จิตตสังขาร"
เพราะว่า กาย เวทนา จิต ธรรม มันเป็นสังขารหมดเลย
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจาก “สนทนาธรรมกับกลุ่มศิษย์”
ณ พุทธธรรมสถานปัญจคีรี
6 ตุลาคม 2562
~~~~~~~~~~~~~~~