ใจมันเป็นธรรมชาติ ใจแท้ ๆ ที่ไม่มีอวิชชา ตัณหา อุปาทานน่ะ มันเป็นธรรมชาติของมันโดยธรรมชาติแท้ ๆ มันเป็นธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง
มันเป็น "วิสังขาร" คือ ไม่ปรุงแต่ง เป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรม เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งมันได้ แต่เราก็จะปรุงแต่งให้มันเป็นอยู่นั่นแหละ
มันเป็นธรรมชาติที่เป็น "สุญญตา" มันเป็นความว่าง ไร้ขอบเขต ไร้ตัวตน มันเหมือนกับเป็นความว่างเปล่าของธรรมชาติจักรวาล และยังเป็น "นิพพานธาตุ" มันเป็นธาตุที่ไม่อาจยึดถือสิ่งใดให้เป็นทุกข์ได้ มันเป็นธรรมชาติที่ไม่สามารถมีกิริยา ที่ไปทำกิริยาปล่อยวางได้ มันทั้งยึดถือก็ไม่ได้ ปล่อยวางก็ไม่ได้
แล้วท่านลองพิจารณาดูให้ดีสิ! สิ่งนั้นสิ่งเดียวเท่านั้นที่เป็น นิพพาน มันเป็นธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง พยายามจะปรุงแต่งให้มันเป็นก็ไม่ได้
และมันก็เป็นความว่าง ความไม่มีตัวตนไม่มีรูปร่างไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีที่อยู่ที่ตั้ง มันก็เป็นนิพพานด้วยตัวของมันเอง คือ มันเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจยึดถือสิ่งใดได้ และไม่มีกิริยาที่จะไปปล่อยวางอะไรได้
มันก็เป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นแหละ มันไม่มีการไป ไม่มีการมา เมื่อมันไม่สังขารแล้ว มันจึงไม่มีการไปไม่มีการมา ไม่มีการหยุดนิ่ง มันทั้งไม่มีการไป เคลื่อนที่ไป ไม่มีการมา ไม่มีการหยุดนิ่ง
มันเป็นธรรมชาติที่ไม่ปรากฏอะไรเลย ไม่อาจจะถูกรับรู้ได้ทาง "อายตนะ"ภายใน คือ ประตูตา ประตูหู ประตูจมูก ประตูลิ้น ประตูกาย ประตูใจ เพราะประตูตา มันเอาไปมองเห็นได้แต่รูป ประตูหูเอาไปฟังได้แต่เสียง ประตูจมูกเอาไปดมได้แต่กลิ่น ประตูลิ้นเอาไปรู้ได้แต่รส ประตูกายไปสัมผัสได้แต่สิ่งที่มาสัมผัสผิวกาย ส่วนประตูใจ มันได้แต่รู้อาการของใจ คือ รู้ธรรมารมณ์
แต่อะไรเล่าที่จะดิ้นรนค้นหาไปหามันได้ เมื่อทั้งหกประตูไม่อาจจะไปหามันเจอ ไม่อาจจะรับรู้มันได้ด้วยหกประตู เราจะหาอะไรเจอ เราต้องเอาหกประตูไปหามัน ไปสัมผัสมัน ไปรับรู้มัน ไปได้ยินมัน ไปฟังมัน ไปดมกลิ่นมัน ไปเลียไปสัมผัสมัน
แต่สิ่งนี้ ท่านไม่อาจจะเอา "อายตนะ"ภายในทั้งหกประตูนั้นน่ะ ไปสัมผัสมันได้เลย ท่านไม่อาจใช้ความคิดปรุงแต่งไปหามันได้
ยิ่งท่านคิดไป ยิ่งปรุงแต่งจะให้มันเป็นความไม่สังขาร เป็นใจที่ไม่สังขาร มันก็ยิ่งเป็นอะไร?... มันก็ยิ่งเป็นสังขาร ...
ท่านต้องพิจารณาอย่างเนี้ย กัดติดจดจ่อมันทั้งวันทั้งคืนว่า ... ก็ธรรมชาติมันเป็นธรรมชาติที่ไม่สังขาร แล้วมันไม่อาจจะถูกรับรู้ได้ทาง "อายตนะ"ภายในภายนอก มันไม่อาจเคลื่อนที่ได้ ไม่อาจจะมีการไป ไม่อาจจะมีการมา ไม่อาจจะมีการหยุดนิ่ง มันไม่อาจจะมีการปรุงแต่งให้มันเป็นได้
แล้วทำไมล่ะ ทุกปัจจุบันขณะ เรายังพยายามปรุงแต่ง ปรุงแต่ง ๆ ให้มันเป็นอยู่นั่นแหละ! ยังมีความอยากให้มันเป็น แต่มันเป็นโดยธรรมชาติของมัน
ท่านลองพิจารณา ไม่ได้อยู่ไปวัน ๆ หนึ่ง โดยไม่ได้พิจารณา มันเป็นธรรมชาติที่มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น มันเป็นธรรมชาติที่เป็น "วิสังขาร" คือ มันไม่อาจสังขารปรุงแต่งได้ มันเป็นธรรมชาติที่เป็น อสังขตธาตุ อสังขตธรรม เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอะไรปัจจัยปรุงแต่งมัน
มันไม่อาจจะถูกทำลายได้ มันไม่เกิดไม่ดับไม่แตกไม่ทำลาย มันไม่มีการไปไม่มีการมาไม่มีการหยุดนิ่ง มันไม่ใช่ธาตุดิน มันไม่ใช่ธาตุน้ำ มันไม่ใช่ธาตุลม มันไม่ใช่ธาตุอากาศ มันไม่ใช่รูปฌาน มันไม่ใช่อรูปฌาน มันไม่ใช่ความรู้สึกว่างที่เป็น "อรูปฌาน" มันไม่ใช่เป็นความว่างเปล่าที่เราจับความรู้สึกได้
สิ่ง ๆ นั้นมันเป็นอยู่ของมันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่เพราะ "อวิชชา" คือ ความโง่! เลยหลงไปยึดถือมัน ไปพยายามเป็นเจ้าของครอบครองมัน ว่ามันจะต้องเป็นของ ๆ เรา เราจะต้องไปเอาสิ่งนั้นมาเป็นของ ๆ เราให้ได้
ของที่มันไม่มีอะไรปรากฏ ไม่มีตัวตน เราจะไปเอามันเป็นของ ๆ เราได้ยังไง เรายังไม่รู้เลยว่าตัวตนของมันอยู่ที่ไหนมันเป็นยังไง
เราพูดว่า "ใจ" กิเลสก็เกิดที่ใจดับที่ใจ ความทุกข์ก็เกิดที่ใจดับที่ใจ ความรู้สีกนึกคิดอารมณ์ ก็เกิดที่ใจดับที่ใจ ทุกอย่างเกิดที่ใจดับที่ใจ เกิดที่ใจดับที่ใจ
กิเลสความทุกข์ความเศร้าหมอง ความผ่องใส ไม่ได้เกิดบนท้องฟ้า ไม่ได้เกิดใต้ดินไม่ได้เกิดในน้ำ แต่เกิดที่ใจดับที่ใจ เกิดที่ใจดับที่ใจ
เรารู้แต่ความสุขความทุกข์ ความผ่องใส ความเศร้าหมอง กิเลส ความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ทั้งหลาย มันเกิดที่ใจดับที่ใจ แต่ใจที่เป็นที่เกิดดับของกิเลส เป็นที่เกิดดับของความสุข ความทุกข์ เป็นที่เกิดดับของความผ่องใส ความเศร้าหมอง เป็นที่เกิดดับของความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ แล้วใจมันอยู่ที่ไหนเล่า?
คนไทยทุกคนเวลาพูดคำว่า "ใจ" รู้จักหมดว่ามี ว่ากิเลสเกิดที่ใจ ดับที่ใจ ความสุขเกิดที่ใจ ดับที่ใจ ความทุกข์เกิดที่ใจ ดับที่ใจ ความผ่องใส ความเศร้าหมองเกิดที่ใจดับที่ใจ ความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ไม่ว่าจะเป็นกุศลอกุศล เกิดที่ใจดับที่ใจ
มันมีแต่อาการ มีปฏิกิริยาที่ปรากฏขึ้นแล้วก็ดับไป ปรากฏขึ้นและดับไป มันเกิดที่ใจและดับไปที่ใจ
แต่ใจที่เป็นที่เกิดดับเนี่ย ทุกคนก็รู้ว่ามันมีอยู่ แต่มันมีอยู่ตรงไหนเล่า ค้นมันเข้าไปสิ! มันมีอยู่ตรงไหนในตัวเราเนี่ย
รู้ว่ามันเกิดที่ใจดับที่ใจน่ะ เรารู้แต่อาการของมันที่เกิดดับ รู้แต่ความสุขที่เกิดดับ ความทุกข์ที่เกิดดับ ความผ่องใสที่เกิดดับ ความเศร้าหมองที่เกิดดับ เรารู้แต่อาการของมัน รู้แต่ความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ ซึ่งเป็นอาการที่เกิดดับ มันเกิดดับในใจ แต่ใจอยู่ที่ไหนล่ะ?
ถอดมันเลย ผม อาการสามสิบสอง ใจมันอยู่ที่ในอาการสามสิบสอง หรือเปล่าล่ะ?
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ม้าม ตับ ปอด หัวใจ
ไหนเล่า ใจมันอยู่ตรงไหนเล่า มีมั้ย...ในอาการสามสิบสองมีใจมั้ย?... "ไม่มี"
เอ้า... แล้วใจมันอยู่ที่ไหนเล่า หามันเข้าไปอีก ค้นมันเข้าไปอีกว่าใจมันคืออะไรแน่ ที่มันเป็นที่เกิดดับของสังขารน่ะ
ใจมันเป็นที่เกิดดับของสังขาร แต่ใจมันไม่สังขาร แล้วใจมันอยู่ที่ไหนเล่า ใจมันคืออะไรเล่า? ให้มันประจักษ์ด้วยตัวของเราเองไม่ต้องฟังใครสอน
หลวงตา เพียงแต่มาพูดตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เราอย่าเพิ่งเชื่อ เราค้นเข้าไป ว่าใจมันต้องมี มันต้องมีตัวตน มันต้องอยู่ในตัวเรานี่แหละ มันต้องมีที่อยู่ที่ตั้งอยู่ในตัวเรานี่แหละ แล้วมันอยู่ตรงไหน รูปร่างมันเป็นยังไง ค้นเข้าไปสิ ค้นเข้าไป
กิเลสตัณหาเกิดที่ใจดับที่ใจ ทุกข์โศกเศร้าเสียใจคับแค้นใจ เกิดที่ใจดับที่ใจ แล้วใจมันอยู่ที่ไหนเล่า
อย่างอื่นเกิดดับหมด มันเกิดดับที่ใจหมด แต่ใจมันเป็นที่รองรับของการเกิดดับ แต่ใจมันไม่เกิดดับไปตามอาการ แล้วใจมันอยู่ที่ไหน ค้นมันเข้าไปสิ
เมื่อในอาการสามสิบสองไม่มีแล้ว ค้นไปอีก ในธาตุดินไม่มีหมดแล้ว ค้นเข้าไปในธาตุน้ำ น้ำเลือด ใจมันอยู่ที่น้ำเลือด น้ำลาย น้ำปัสสาวะ น้ำไขมันข้น น้ำเหงื่อ มีมั้ยเล่าใจน่ะ?... "ไม่มี"
ไม่มีอยู่ทั้งในธาตุดิน ในอาการสามสิบสองในอวัยวะสามสิบสอง ไม่มีในธาตุน้ำ ถ้าอย่างนั้นมันคงมีอยู่ในธาตุลม ใจมันคงอยู่ที่ธาตุลมหายใจเข้าออก มันมีมั้ยล่ะ?...ไม่มีอีก
ใจมันคงอยู่ในธาตุไฟ มันมีมั้ยเล่า?.. "ไม่มี"
ใจมันคงอยู่ในจิตนี่แหละ ซึ่งเป็นความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ มันมีมั้ยล่ะ?... มันก็ไม่มีอีก
ก็จะพบว่า "ใจ" มันคือความไม่มีอะไรปรากฏ มันเปรียบเหมือนเป็นความว่างเปล่าของธรรมชาติจักรวาล อันไม่มีขอบเขต ไม่มีตัวตน มันไม่ใช่เป็นดวงอยู่ในตัวเรา มันไม่ใช่เป็นก้อนเป็นแท่ง มันไม่ใช่มีสี มันไม่ใช่มีสีดำ มันไม่ใช่มีสีขาว มันไม่ใช่สีเหลืองมันไม่ใช่มีสีอะไรหมด
มันไม่ใช่มืด มันไม่ใช่สว่าง แต่มันไม่มีอะไรเลย มันไม่มีอะไรปรากฏเลย มันเป็นเหมือนความว่างเปล่าของท้องฟ้า ว่างเปล่าของจักรวาล มันไม่มีตัวตนไม่มีที่อยู่ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีที่หมาย
นั่นแหละ คือ ใจ
"ผู้ใดพบใจ ผู้นั้นพบธรรม ผู้ใดถึงใจ ผู้นั้นถึงพระนิพพาน" ที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้กล่าวไว้
พระนิพพานไม่ใช่ว่ามีตัวเราไปถึงพระนิพพาน แต่ไปเป็นใจที่ไม่ปรุงแต่งนั่นแหละ คือ นิพพาน
ไม่ใช่เป็น "ตัวเรา" ไปเป็นใจที่ไม่ปรุงแต่ง แต่ใจเนี่ย มันปล่อยวางความเป็นตัวเรา เพราะความรู้สึกเป็นตัวเรามันเป็นสังขาร เป็นขันธ์ห้า เรายึดถือขันธ์ห้าเป็นตัวเรา มันเป็นสังขารมันเป็นความปรุงแต่ง แต่ใจมันพ้นความปรุงแต่ง มันเป็นที่เกิดดับของความปรุงแต่ง ใจนั่นแหละ คือ นิพพาน ที่มันพ้นความปรุงแต่ง
ท่านไม่อาจจะพยายามเอาสังขาร คือขันธ์ห้า คือความรู้สึกเป็นตัวเรา ปรุงแต่งไปเป็นใจได้ ต่อให้ท่านพยายามจะไปดับสังขารให้ตาย ท่านไล่ดับสังขารยังไงเพื่อจะให้ไปเป็นใจที่ไม่สังขาร ท่านเอาตัวเรา พยายามไปดับ รู้เท่าทัน เอาสติปัญญาไปรู้เท่าทันความคิดทุกความคิด ให้ความคิดมันดับหมด
แต่ตัวเราที่ไปไล่ความคิดให้ดับหมดมันดับมั้ย? ...มันเหลืออยู่ มันจึงไม่เป็นใจไปได้หรอก
ต่อให้เราไล่ดับทุกอย่างให้มันสงบ และว่างเปล่า
แต่ตัวเราที่ไปไล่ดับให้สงบ และว่างเปล่า มันก็ยังเหลืออะไร? ...เหลือตัวเราอยู่ ... มันจึงไม่สามารถเป็นใจได้
หนึ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นใจ คือ ปล่อยวางสังขารเสียให้หมดสิ้น
ไม่หลงไปเป็นสังขาร ไม่ยึดถือสังขาร ไม่หลงปรุงแต่ง และมันก็จะเป็นใจทันทีเลย
เพราะใจมันคือ ธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง เปรียบเหมือนกับว่ามันพ้นจากความปรุงแต่ง หรือเป็นตรงข้ามกับความปรุงแต่ง
#อย่าไปเป็นความปรุงแต่งมันก็เป็นใจทันที
แต่ไม่ใช่ว่าเอาตัวเราไปเป็นใจ เพราะตัวเราเนี่ย เราไปยึดขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นตัวเรา เรารู้สึกว่ามันเป็นตัวเรา มันเป็นความปรุงแต่ง มันเลยเป็นตัวเราไปเป็นใจไม่ได้ จึงต้องปล่อยวางความรู้สึกเป็นตัวเราไปให้หมดสิ้น เพราะมันเป็นความปรุงแต่ง มันจึงกลายเป็นใจที่ไม่ปรุงแต่ง
วิธีเดียวเท่านั้นที่จะเป็นใจ คือ ต้องปล่อยวางสังขาร สังขารกาย สังขารจิต เสียให้หมดสิ้น ปล่อยวางรูปนามที่เป็นสังขารเสียให้หมดสิ้น ปล่อยวางความรู้สึกเป็นเราเป็นตัวเราเป็นของ ๆ เราเสียให้หมดสิ้น จึงจะเป็นใจที่ไม่ปรุงแต่ง
มีวิธีเดียวเท่านั้น วิธีอื่นนอกจากนี้ ไม่มี!
ไม่ว่าท่านจะไปปฏิบัติที่สำนักใดก็ตาม ในโลกนี้ในธรรมชาตินี้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์ไหนก็ตาม แม้กับพระพุทธเจ้า
ก็มีวิธีเดียวเท่านั้น ที่จะเป็นนิพพาน หรือพบใจ หรือถึงใจ
ปล่อยวางสังขาร
ปล่อยวางขันธ์ห้า
ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ใด พระอรหันต์องค์ใด พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ใด ที่ไม่ปล่อยวางสังขาร ไม่ปล่อยวางขันธ์ห้า ไม่มีวิธีอื่นที่จะไปนิพพานโดยไม่ปล่อยวางขันธ์ห้าที่เป็นสังขารเป็นเด็ดขาด วิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้น
ไม่ว่าท่านจะไปปฏิบัติด้วยกรรมวิธีใดสำนักใด จะมีรูปแบบซับซ้อนยังไงก็ตาม ไม่ซับซ้อนยังไงก็ตาม วิธีการปฏิบัติทั้งหมดถ้าถูกต้องตามหลักธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า ต้องปล่อยวางขันธ์ห้า
จะปฏิบัติด้วยกรรมวิธีใด ก็เพื่อปล่อยวางขันธ์ห้า ปล่อยวางรูปนาม ปล่อยวางร่างกายจิตใจ ปล่อยวางความคิดความรู้สึก ว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา
ดังนั้นถ้าจะถามว่าผมปฏิบัติจากสำนักโน้นด้วยวิธีนี้ อาจารย์ท่านโน้นสอน อาจารย์ท่านนี้สอน คนโน้นสอนคนนี้สอน จะถูกมั้ย หลวงตาสอนจะถูกมั้ย ท่านโน้นสอนจะถูกมั้ย?
ถ้าให้ปล่อยวางขันธ์ห้าถูกหมด
แต่ถ้ายึดถืออะไรผิดหมด!!
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
191005B2-2 แจกแจงธรรมละเอียดทุกแง่ทุกมุม ตอน 1
5 ตุลาคม 2562
ฟังจากยูทูป :
https://youtu.be/RynDadrMM_g
ฟังจากระบบซาวด์คลาวด์ :
https://soundcloud.com/luangtanarongsak/191005b2-2-1
~~~~~~~~~~~~~~~